“ …ภาพไม่ชัดก็จะพากันวิ่งแล้ว ไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็จะพากันไปแล้ว จะไปชนอะไร จะเป็นอะไร เรายังไม่รู้เลย โจทย์ของเราคือว่า ความคิดที่แตกวงอะไรออกไป มันจะมาสรุปตรงที่ว่า เราจะต้องกำหนดอนาคตของเราเอง…
|
|||||||||
การกำหนดให้ แม่สอด เป็นเขตเศรษฐกิจชายแดน นับเป็น “โครงสร้างสับสนใหม่” ที่ ซ้อนทับ “โครงสร้างสับสนเดิม” ที่มีทั้ง ปัญหาแรงงานต่างด้าว และประชากรแฝง ที่ทุกวันนี้มีจำนวนถึง 2 ใน 3 ของประชากรแม่สอด ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคม และปัญหาสิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรม ที่เป็นผลจากทั้ง การตั้งที่อยู่อาศัยของแรงงานต่างด้าว และประชากรแฝง การดำเนินการของโรงงานหรือสถานประกอบการที่ไร้มาตรฐาน ระบบกำจัดของเสียทั้งขยะ น้ำเสีย ที่ไม่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งปัญหาเรื้อรัง คือการปนเปื้อนของสารแคดเมี่ยมลงแหล่งน้ำและผืนดิน ที่เป็นปัญหาซับซ้อนจากการดำเนินการของภาคอุตสาหกรรมใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อเนื่องยาวนานต่อคุณภาพชีวิต ตลอดจนวิถีวัฒนธรรมของชุมชนในพื้นที่เหมืองแคดเมี่ยมนั้น อีกทั้งปัญหา การเวนคืนที่ดิน การปั่นราคาที่ดิน และการไล่ล่าหาซื้อและดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อครอบครองที่ดิน ของผู้มีอำนาจทางธุรกิจและการเมือง ส่งผลต่อ การไร้ที่ดินทำกิน และ การบุกรุกเพื่อหาที่ทำกินใหม่ เป็นวัฎจักรร้ายของปัญหาที่ดิน ที่เกิดขึ้นเช่นนี้ ในหลายพื้นที่ของประเทศ
|
|||||||||
68 กิโลเมตร ของสายน้ำปราจีน ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และปลายน้ำ มีทั้งรีสอร์ท นิคมอุตสาหกรรม ชุมชนเมือง การเพาะเลี้ยงปลากระชัง และเขตเกษตรกรรมที่มีการทำทั้งนาปี และนาปรัง จากการจัดเวทีพลเมืองไท ”บ้านเมืองเรื่องของเรา” ที่ลานแพร่งภูธร เมื่อต้นปีนี้ และเป็นหนึ่งในกิจกรรมของโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ–ท้องถิ่นน่าอยู่ ที่เชื่อมั่นในเรื่อง “การปุจฉาวิสัชชนาอย่างมีวิจารณญาณ” หรือ Deliberative Dialogue ของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในประเด็นปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตร่วมกัน ในการจัดเวทีระดมข้อมูล ความคิดเห็น และ ทางออกในครั้งนั้น อาจารย์ขวัญสรวง อติโพธิ นักวิชาการอิสระ และที่ปรึกษาโครงการฯในฐานะผู้ดำเนินการการพูดคุย ได้สรุปสาระสำคัญไว้ว่า “…สภาพพื้นฐานของจังหวัดปราจีนบุรี ปริมาณน้ำมีพอสมควรแต่ไปเร็ว ฉะนั้นในช่วงหน้าแล้ง น้ำจะมีปริมาณน้อยและนิ่ง ขณะที่ จากปากแม่น้ำไป 30 – 40 กิโลเมตร มีน้ำเค็มคอยหนุน …. เกษตรกรประกอบอาชีพทำนา ทั้งนาปีและนาปรัง สามารถทำนาได้ถึง 5 ครั้ง ใน 2 ปี นาปี ประสบปัญหาขาดแคลนน้ำ นาปรังก็มีปัญหาการแย่งน้ำ … คนเลี้ยงปลากระชัง เคยเลี้ยงกุ้งเป็นอาชีพเสริม เมื่อบ่อกุ้งขาดทุน ก็หันมาเลี้ยงปลากระชัง แต่ก็ประสบปัญหาน้ำเน่าเสีย ส่งผลให้ปลาตาย และยังถูกเพ่งเล็งว่าเป็นสาเหตุของน้ำเสีย… ทางโรงงานก็บอกว่า ใช้น้ำไม่มาก บางส่วนตั้งอยู่ห่างไกลจากแม่น้ำ และถ้าปล่อยน้ำเสียลงแม่น้ำสามารถตรวจจับได้ง่าย ขณะเดียวกันก็ฝันอยากมีโรงงานสะอาด และเสียดายน้ำที่ปล่อยทิ้งไป… ในขณะที่ทางต้นน้ำมีรีสอร์ทอยู่ 5 แห่ง และปัจจุบัน ทางต้นน้ำก็เริ่มมีคนทำเล้าหมูและฟาร์มปศุสัตว์ …” และจากการที่โครงการฯ ได้ลงทำงานในพื้นที่ และ รับฟังข้อมูลผู้เกี่ยวข้อง เช่น พระครูโกศล ถาวรกิจ ที่ได้ให้ความเห็นว่า “ ….มันมีส่วนด้วยกันทั้งนั้น ภาคเกษตรก็มีส่วนทำให้น้ำเสีย ภาคอุตสาหกรรมก็อาจจะมีส่วน ภาคอุตสาหกรรมก็โทษภาคเกษตร ภาคเกษตรก็โทษภาคอุตสาหกรรม ภาคอุตสาหกรรมก็โทษชุมชน … ทุกคนต้องรับความจริง ถ้าไม่รับความจริงก็แก้ยาก ไม่ใช่คุยกับใครก็ปฏิเสธ เราจะปรับวิถีชีวิตยังไงถึงจะอยู่ร่วมกันได้ ..อยู่ที่ว่า หลายๆคน ต้องหันหน้าคุยกัน ..โรงงานควรจะปรับอย่างไร.. ชาวนาควรจะปรับอย่างไร..คนเลี้ยงปลากระชังควรทำอย่างไร ..เราจึงจะอยู่ร่วมกันได้ …”
|
|||||||||
|
|||||||||
บุษบงก์ ชาวกัณหา ผู้ประสานงานของโครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ–ท้องถิ่นน่าอยู่ จ.ปราจีนบุรี กล่าวถึงภาระของโครงการว่า “… เราน่าจะมีการกำหนดร่วมกันว่า เราอยากจะเห็นอะไรกันแน่..จากการที่โครงการฯลงไปทำงานนี้..ใช้ข้อมูล เชื่อมโยงทางกายภาพให้เห็น ทำให้ผู้เกี่ยวข้องได้พบปะกัน แบ่งปันข้อมูลกัน..ก็เริ่มทำให้เห็นกันว่า เราอยู่ไม่ได้นะคนเดียว ต้องรวมกันเป็นพลัง แล้วเห็นความสัมพันธ์ ..เป็นการจุดประกายในการร่วมกันทำงานกันต่อไป…”
นั่นเป็นเพียงรูปธรรมบางส่วนของ “ประเด็นสาธารณะ” ที่โครงการวิจัยและพัฒนาชีวิตสาธารณะ–ท้องถิ่นน่าอยู่ ด้วยการสนับสนุนของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ(สสส.)มุ่งมั่นดำเนินการร่วมกับชุมชนต่าง ๆ ใน 35 จังหวัด เพื่อให้เกิด การร่วมแรงร่วมใจกันสร้าง “สุขภาวะ” ให้เกิดขึ้นด้วยพลังร่วมภาคประชาชน สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้มากน้อยเพียงใด ? อาจเป็นข้อสงสัยในใจของหลายคน
|
|||||||||
นสพ.โพสต์ทูเดย์ วันจันทร์ที่ 4 กรกฎาคม 2548 |
Be the first to comment on "เมื่อชุมชนตื่นตัวขอมีส่วนร่วม ออกแบบชีวิตและกำหนดอนาคตตนเอง"