พลเมืองอภิวัฒน์ จัดระบียบประเทศไทย

พี่น้องเพื่อนร่วมงาน องค์กรพัฒนาเอกชน  ข่ายงานชุมชนเข้มแข็งและประชาสังคมที่รักทุกท่าน

      นับตั้งแต่ประเทศก้าวสู่ความขัดแย้งทางการเมืองและความแตกแยกทางสังคมอย่างรุนแรงในปี 2549  ภาวะโกลาหลไร้ระเบียบได้เกิดขึ้นและบานปลายขยายตัวมาโดยลำดับและยังไม่มีแนวโน้มคลี่คลาย  อำนาจรัฐที่เคยรวมศูนย์  กฎหมาย และสถาบันหลักของบ้านเมืองที่เรียนรู้อย่างเชื่องช้าหรือไม่ปรับตัวต่างถูกท้าทายทดสอบ และเขย่าไปมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยกลุ่มพลังทางสังคมขั้วต่างๆ จนสั่นคลอนและอ่อนแอลงไปโดยถ้วนทั่ว

ความโกลาหลไร้ระเบียบเป็นกระบวนการตามธรรมชาติในการเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่ง  เป็นสภาวะชั่วคราวที่เรียกว่า วิกฤต ก่อนที่จะเปลี่ยนผ่านไปสู่สภาวะหรือภพภูมิใหม่  หากมองในแง่ดี ภาวะที่โกลาหลไร้ระเบียบเช่นนี้ย่อมเป็นโอกาสที่ประเทศและสังคมไทยซึ่งถูกตรึงแน่นด้วยโครงสร้างอำนาจรวมศูนย์มาอย่างยาวนาน  จะได้เปลี่ยนแปลงไปสู่ระเบียบความสัมพันธ์อันใหม่  ที่ดีกว่าเดิม(วิวัฒน์”)หรือแย่ยิ่งกว่าเก่า (วิบัติ) ก็ได้ทั้งสิ้น  ดั่งเราได้เห็นชะตากรรมของบ้านเมืองอื่นที่ครั้งหนึ่งเคยรุ่งโรจน์ยิ่งใหญ่กลับต้องมาตกอับหรือล่มสลายไป ในขณะที่บางประเทศที่เพิ่งเกิดมาเพียง 1-2 ศตวรรษกลับผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจ เหล่านี้ล้วนเป็นอุทาหรณ์ 

                                 กาลเวลาและสังคมโลกหมุนเวียนเปลี่ยนไปทุกขณะ  สำหรับประเทศหนึ่งใดหากจมอยู่ในความวิกฤตที่ยาวนานจนเกินไป ก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะดำดิ่งสู่ความวิบัติมากขึ้นทุกขณะ 5 ปีที่ผ่านมานี้ประเทศชาติและสังคมไทยของเราเกิดวิกฤตการณ์ทางสังคมและทางการเมืองขนาดใหญ่หลายระลอก  การแย่งชิงอำนาจรัฐส่วนบนของกลุ่มชนชั้นนำ  ต่างฝ่ายต่างใช้มวลชนรากหญ้า ทหารตำรวจชั้นผู้น้อยเข้าปะทะกันทำให้เกิดการบาดเจ็บ  ล้มตายและเผาบ้านเผาเมืองจนวุ่นวายกลายเป็นบาดแผลทางสังคมที่บาดลึก  สภาวะเช่นนี้จะปล่อยให้ดำรงอยู่นานเป็น 10 ปี 20 ปี ไม่ได้โดยเด็ดขาด  ประเทศมาถึงแพร่งทางแยกอันสำคัญแล้ว  จึงเป็นภารกิจของพลังสร้างสรรค์ทุกส่วนในสังคม   จะต้องลุกขึ้นมาช่วยกันบังคับทิศทางให้เคลื่อนไปสู่ความวิวัฒน์ ขณะเดียวกันต้องเฝ้าระวังป้องกันทุกวิถีทางมิให้ตกไปสู่ความวิบัติได้เป็นอันขาด    เพราะนั่นย่อมหมายถึงอนาคตหรือชะตากรรมของลูกหลานของเรา

                                ท่ามกลางความโกลาหลวุ่นวายทางสังคมและการเมืองที่ผ่านมา  ในขณะที่สถาบันนักการเมืองเสื่อมทรุดจนถึงขีดสุด  สถาบันข้าราชการก็อ่อนแอลงอย่างรวดเร็ว  การบังคับใช้กฎหมายถึงขั้นหมดสภาพ  สถาบันการศึกษาและศาสนาอยู่ในสภาพที่ยากลำบากและไร้พลังอย่างยิ่ง  โชคดีที่ยังมีกลุ่มคนอีกบางส่วนที่ไม่นิ่งเฉยและไม่ยอมจำนนได้ลุกขึ้นมาหาทางออกให้กับบ้านเมือง  จนเกิดเป็นกระแสที่เรียกว่า การปฏิรูปประเทศไทย พลังสร้างสรรค์เหล่านี้ล้วนเป็นตัวแปรสำคัญในสถานการณ์แพร่งทางแยกของประเทศ ดังนั้นภาระหน้าที่ของพวกเราทั้งหลายในเวลานี้คือการขยายพลังที่สร้างสรรเช่นนี้ออกไปให้กว้างขวางเพื่อคัดท้ายประเทศให้พ้นจากหายนะไปสู่ทิศทางแห่งความอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน

 พี่น้องเพื่อร่วมงานที่รักทุกท่าน

              ในสถานการณ์วิกฤตทางสังคมและการเมืองที่ดำรงอยู่  การเลือกตั้งทั่วไป  3 กรกฎาคม 2554  ที่กำลังจะมาถึงนับเป็นเหตุการณ์สำคัญยิ่งที่อาจส่งผลต่อทิศทางของประเทศว่าจะผ่านวิกฤตไปสู่ภพภูมิใด  ระหว่างวิบัติหรือวิวัฒน์ดังข้างต้น  เพราะการเลือกตั้งใหญ่คือกระบวนการเปลี่ยนถ่ายอำนาจรัฐส่วนบนที่เรามีเงื่อนไขในการใช้อำนาจอธิปไตยของตน  โดยมี 1 คะแนนเสียงของประชาชนแต่ละคนเป็นตัวตัดสิน

                                อย่างไรก็ตาม  ด้วยสภาพที่พลังอำนาจธุรกิจการเมืองยังมีอิทธิพลครอบงำกระบวนการตัดสินใจหย่อนบัตรของประชาชนโดยทั่วไปเช่นปัจจุบัน หากต้องการที่จะเห็นโฉมหน้าของรัฐสภาและรัฐบาลในมิติใหม่  พวกเราทั้งหมดคงต้องออกแรงช่วยกันรณรงค์เพื่อให้ข้อมูลและแง่คิดสำคัญประกอบการตัดสินใจของพี่น้องประชาชนกันอีกทางหนึ่งแบบคนละไม้คนละมือ

                              เพื่อการนี้สถาบันชุมชนท้องถิ่นพัฒนา(LDI) จึงร่วมกับองค์กรภาคีต่างๆประกาศตัวขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านประเทศให้ก้าวออกจากวิกฤตไปสู่ความวิวัฒน์ให้ได้ภายในระยะเวลา 5 ปี โดยเริ่มจากฤดูกาลเลือกตั้งครั้งนี้ และแบ่งการปฏิบัติการเป็น 3 ระยะซึ่งมีเป้าหมายหรือเข็มมุ่งดังนี้

           ช่วงที่ 1 : โหวตปฏิรูป

           หมายถึงช่วง 50 วันของการรณรงค์เลือกตั้ง (12 พฤษภาคม 3 กรกฎาคม) เราจะรณรงค์ให้ประชาชนไปใช้สิทธิ์ลงคะแนนให้มากที่สุด (ไปโหวต) และใช้ดุลพินิจในการลงคะแนนให้เอื้อต่อการปฏิรูปบ้านเมือง หรือจัดระเบียบประเทศ (โหวตปฏิรูป)

                            โหวตปฏิรูป  ที่จะรณรงค์ครั้งนี้หมายถึง  การโหวตอย่างใดอย่างหนึ่งใน 3 ลักษณะได้แก่

·       โหวตแซงชั่น คือการไม่เลือก สส.สีเทา สส.หลังยาว สส.เถื่อนถ่อยอย่าให้พวกนี้เข้าสภาได้ไม่ว่าพวกเขาจะสวมเสื้อคลุมพรรคการเมืองใด

·       โหวตสนับสนุน หมายถึงการเลือกพรรค(บัญชีรายชื่อ) ที่เอาด้วยกับการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ให้พวกนี้เข้ามามาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นพรรคเล็กหรือใหญ่  พรรคเก่าหรือพรรคใหม่ก็ตาม

·       โหวตสั่งสอน  คือ การไม่เลือกใครหรือพรรคใดเลยหากชั่งใจถี่ถ้วนแล้วเห็นว่าไม่มีคนดี / พรรคดี ให้เลือก(โหวตโน)

                ผลลัพธ์เป้าหมายที่อยากเห็นในช่วงนี้คือประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งกันอย่างล้นหลาม (เกิน 80%)เกิดกระแสปฏิรูปโครงสร้างอำนาจปรากฎในนโยบายพรรคการเมือง, พรรคฝ่ายปฏิรูปได้ที่นั่งในสภาจำนวนมาก อดีต สส.สีเทา หลังยาว ถ่อยเถื่อนสอบตกกันมากมาย  และจำนวน โหวตโน มีนัยสำคัญทางการเมือง

           ช่วงที่ 2 : ตั้งทิศประเทศไทย

                               หมายถึงช่วง 100 วันหลังการเลือกตั้งซึ่งเป็นช่วงแรกของการขึ้นครองอำนาจของรัฐบาลชุดใหม่  เราจะจับตาและติดตามกำกับให้รัฐบาลบรรจุสาระสำคัญในการปฏิรูปบ้านเมืองไว้ในนโยบายที่จะแถลงต่อรัฐสภา ทั้งในด้านการปฏิรูปการเมืองในระยะเฉพาะหน้าและการปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมในระยะยาว

                ผลลัพธ์เป้าหมายที่ต้องการคือนโยบายปฏิรูปของรัฐบาลและกลไกการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนที่เป็นกิจลักษณะ

                 ช่วงที่ 3 : อภิวัฒน์บ้านเมือง

                                 หมายถึง 1,500 วันหรือตลอด 4 ปีของการทำงานของรัฐสภาและรัฐบาลชุดใหม่  เราจะจัดขบวนแถวการเมืองภาคพลเมืองที่เข้มแข็ง  เพื่อเข้าร่วมจัดระเบียบประเทศไทยอย่างเข้มข้น  โดยผ่านกระบวนการทบทวนแก้ไข  ปรับปรุงกติกาสังคมและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง  ตลอดจนผลักดันให้มีแผนพัฒนาประเทศฉบับที่ 12  อันเป็นแผนในเชิงปฏิรูปโครงสร้างอำนาจและปฏิรูปเศรษฐกิจสังคมอย่างบูรณาการ

                                 ผลลัพธ์เป้าหมายที่อยากเห็นคือ  การมีกติกาใหม่ในการปฏิรูปการเมืองการปกครองก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไปในปี 2558  โดยเฉพาะในเนื้อหาที่เกี่ยวกับการแยกอำนาจบริหาร นิติบัญญัติ การเลือกรัฐบาลโดยตรง การยกเลิกราชการส่วนภูมิภาค การกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและชุมชนจัดการตนเอง และการเพิ่มบทบาทหน้าที่ของภาคประชาชนในกลไกตรวจสอบตามรัฐธรรมนูญ ตลอดจนการมีแผนพัฒนาประเทศฉบับปฏิรูปสำหรับการพัฒนาในระยะยาว

 พี่น้องเพื่อนร่วมงานที่รักทุกท่าน

                        ในการรณรงค์ครั้งนี้  เราใช้ชื่อเรียกขานตนเองว่า เครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์ ด้วยเรามีความเชื่อโดยบริสุทธิ์ใจว่ารูปแบบการเมืองการเลือกตั้งอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดี การรัฐประหารก็ดี การปฏิวัติมวลชนหรือแม้แต่การปฏิรูปการเมืองอย่างที่ผ่านๆมาก็ดี ล้วนไม่ใช่คำตอบ

                                อภิวัฒน์พลเมืองคือการมุ่งเปลี่ยนแปลงตนเองของคนไทยสู่ความเป็นพลเมืองที่เฉลียวฉลาดรู้เท่าทันและมีวุฒิภาวะ  ควบคู่ไปกับการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอำนาจและความสัมพันธ์ในสังคม  โดยไม่แสวงการได้มาซึ่งอำนาจรัฐแต่อย่างใด

                                 ถึงเวลาแล้วที่พวกเราทั้งหลาย ทั้งองค์กรชุมชน  องค์กรพัฒนาเอกชน  องค์กรประชาสังคม  องค์กรอาสาสมัครและสาธารณประโยชน์นับหมื่นนับแสนองค์กร จะได้เข้ามาร่วมกันคัดท้ายประเทศไทยไปสู่ภพภูมิใหม่ที่ดีงามและอยู่เย็นเป็นสุขร่วมกัน 

                จึงขอเชิญชวนเข้าร่วมสร้างสรรค์พัฒนารูปแบบของกิจกรรมและความเคลื่อนไหวในทุกพื้นที่ในทุกวงการและในองค์กรของตนให้เป็นไปในทิศทางและจังหวะก้าวเดียวกัน  ทั้งนี้ตามอัธยาศัย  ตามความพร้อมและตามความถนัดของตน

                                                                                  ด้วยจิตคารวะ

                                                                                                                                พลเดช   ปิ่นประทีป

25          พฤษภาคม  2554

Flowchart: Process: ระหว่างวันที่ 21-30 มิถุนายนนี้ เครือข่ายพลเมืองอภิวัฒน์จะจัดเวทีจุดประกายขับเคลื่อนประเด็นนโยบายสำคัญ 20 วัน 20 ประเด็น ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยมีการถ่ายทอดสื่อสารผ่านทางเครือข่ายสถานีวิทยุทีนิวส์ และวิทยุชุมชน ตลอดจนเว็ปไซต์ของเครือข่ายซึ่งท่านสามารถนำไปใช้ขยายผล-เผยแพร่ได้โดยติดตามได้จาก Facebook : พลเมืองอภิวัฒน์ Website : www.ldinet.org www.democracymove.net

 

Be the first to comment on "พลเมืองอภิวัฒน์ จัดระบียบประเทศไทย"

Leave a comment

Your email address will not be published.