HIV/AIDS กำลังกลายเป็นอดีต

 

พลเดช  ปิ่นประทีป

เมื่อปี 2533 (ค.ศ.1990)

ผมได้รับคำสั่งจากนายแพทย์สาธารณสุขจังหวัดพิษณุโลกให้เข้ามารับผิดชอบเป็นหัวหน้าฝ่ายควบโรคติดต่อของสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดอีกตำแหน่งหนึ่ง   โดยมีภารกิจในการต่อต้านการแพร่ระบาดของ HIV/AIDS ที่กำลังคุกคามพื้นที่พิษณุโลกและจังหวัดภาคเหนือเป็นประการสำคัญ

เวลานั้นผมเป็นหมอบ้านนอกคนหนึ่งที่ไม่มีความรู้เรื่องโรคเอดส์เลยเพราะเป็นโรคระบาดชนิดใหม่
 ชะเลยเจ้านายคงตระหนักว่
าโรคเอดส์เป็นภัยคุกคามชนิดใหม่ที่น่าประหวั่นพรั่นพรึงและคงเห็นว่าผมมีแววว่าจะเป็นเสนาธิการให้ท่านได้ในเรื่องนี

ผมจึงต้องวิ่งทำงานสองตำแหน่งไปพร้อมๆ กัน  คือเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลพรหมพิรามและเป็นหัวหน้าฝ่ายควบคุมโรคติดต่อของจังหวัดพิษณุโลก

เมื่อทำความเข้าใจกับธรรมชาติวิทยาและระบาดวิทยาของ  HIV/AIDS ได้พอประมาณว่าอะไรเป็นอะไร

            เราเริ่มยุทธศาสตร์การป้องกันโดยใช้กระบวนการทางสังคมที่เข้มแข็งทันที  โดยมีมาตรการ  “ถุงยางอนามัย 100%ในกลุ่มหญิงบริการทางเพศเป็นแนวทางหลัก  รวมทั้งมาตรการรณรงค์ให้ความรู้และข้อมูลแก่สังคมวงกว้างทั่วทั้งจังหวัด

การดูแลผู้ติดเชื้อ การไม่แบ่งแยกรังเกียจผู้ติดเชื้อ และการริเริ่มบุกเบิกกระบวนการสอนทักษะชีวิตแก่เยาวชนตามโรงเรียนมัธยมต่างๆ

เพียงปีเดียวเท่านั้น

ผลงานการป้องกันและควบคุมโรคเอดส์ของจังหวัดพิษณุโลกได้กลายเป็นโมเดลการทำงานเชิงรุกของกระทรวงสาธารณสุข

 ปี 2534 ผลงานวิจัยเชิงปฏิบัติการในการพัฒนารูปแบบการรณรงค์ป้องกันเอดส์ในสถานบริการทางเพศของผมได้รับรางวัลงานวิจัยสาธารณสุขดีเด่นระดับชาติจากมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช

ทุกปีในวันที่1 ธันวาคม

มนุษยชาติทั่วโลกมีการร่วมตัวกันเพื่อกระตุ้นเตือนให้สังคมทุกชั้นชน ตื่นตัวต่อปัญหาโรคเอดส์และรวมพลังกันต่อสู้เพื่อเอาชนะมหันตภัยร้ายที่ยังไม่มียารักษาหายขาดและไม่มีวัคซีนป้องกัน

การระบาดของโรคร้ายที่คร่าชีวิตผู้คนจำนวนมหาศาลใดๆ ล้วนมีอุบัติขึ้นและมีจุดสิ้นสุดด้วยกันทั้งสิ้น

กาฬโรค (Black Death) ที่เริ่มจากจีนไปสู่ยุโรปในยุค 1300 มีช่วงระบาดที่รุนแรงที่สุดอยู่ 5 ปี

การระบาดของไข้หวัดใหญ่ในปี 1918 แพร่ไปเกือบทุกประเทศ

ภายในปีเดียวคนตายร่วม 50 ล้านคนแต่ก็จบไปแล้วเช่นกัน

ถึงวันนี้ ภูมิทัศน์โรคเอดส์เปลี่ยนไปมาก

แม้ยังไม่สามารถค้นพบวัคซีนป้องกันและยาที่รักษาหายขาด แต่การใช้ยาต้านรีโทรไวรัส(ARV)หลายชนิดผสมกันแบบค็อกเทลก็สามารถลดปริมาณไวรัสในกระแสเลือดของผู้ป่วยและผู้ติดเชื้ออย่างได้ผล  ทำให้เราป้องกันเชื้อจากแม่สู่ลูกในครรภ์ ยืดชีวิตผู้ป่วย และลดการแพร่เชื้อในวิถีชีวิตประจำวันอย่างได้ผล

จนในที่สุดเริ่มมีรายงานทางการแพทย์แล้วว่าเมื่อใช้ยาไปถึงจุดหนึ่งมีผู้ป่วยบางรายตรวจไม่พบเชื้อแล้ว

เมื่อ 30 ปีก่อน (1984)

ซานฟรานซิสโกเป็นเมืองแรกของโลกที่เกิดการระบาดของโรคเอดส์  จนทำให้ตื่นตระหนกกันไปทั้งโลกในเวลาต่อมา

ในสหรัฐอเมริกาเองมีคนเสียชีวิตไปแล้วถึง 650,000 คนหรือปีละ 50,000 คน

ปัจจุบันก็ยังมีผู้ติดเชื้ออยู่อีก 1.1 ล้านคน  ในจำนวนนี้  84% เท่านั้นที่ได้รับการตรวจวินิจฉัย  33% ได้รับการบำบัดทางยา

แต่ที่ซานฟรานซิสโกในวันนี้  เขาสามารถประกาศว่าเอาชนะการระบาดของเอดส์ได้แล้
เขาเรียกว่าสภาวะ “Ground Zero” คือ ไม่มีการติดเชื้อรายใหม่ ไม่มีการตายจากเอดส์และไม่มี
ตราบาปสำหรับผู้ป่วย

ที่นั่นเขาดำเนินการรณรงค์ให้มีการตรวจหาอย่างเปิดเผยและเมื่อรู้ว่าติดเชื้อก็เริ่มใช้ยาค็อกเทล ARV เสียโดยเร็ว

แต่ก่อนกินยาสามปีกว่าจะคุมเชื้อได้ ปัจจุบันแค่สามเดือนเท่านั้น

รัฐบาลสหรัฐนับได้ว่าเป็นสถาบันที่ทุ่มเทในการเอาชนะโรคเอดส์มากที่สุด รัฐบาลบุชทุ่มงบประมาณนับหมื่นล้านเหรียญเพื่อเอาชนะเอดส์ในทวีปแอฟริกา ซึ่งรัฐบาลโอบามาก็สานต่อ

นโยบายต่อปัญหาเอดส์เป็นตัวอย่างหนึ่งที่สองพรรคการเมืองใหญ่ของสหรัฐทำงานร่วมกับแบบที่เรียกว่า Bipartisan

การต่อสู้และเอาชนะเอดส์ของมวลมนุษยชาติ

นับเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจยิ่งในยุคสมัยของพวกเราครับ

Be the first to comment on "HIV/AIDS กำลังกลายเป็นอดีต"

Leave a comment

Your email address will not be published.