โดย นายแพทย์ พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา
หลุมพรางของการปฏิรูป ที่สังคมไทยมักจะพลาดพลั้งตกลงไปคือได้ทำแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ
สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เป็นตัวแทนรัฐบาล มานำเสนอรายงานความคืบหน้าการปฏิรูปประเทศ ซึ่งเป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและ พรป. การปฏิรูป ที่กำหนดให้รัฐบาลต้องมีหน้าที่รายงานความคืบหน้าการดำเนินการปฏิรูปตามแผนทุกรอบ 3 เดือน ต่อวุฒิสภา เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2562 นับเป็นครั้งแรก เป็นรอบ 1 มกราคม – 31 มีนาคม 2562
ความคืบหน้าตามที่เสนอรายงาน
สศช. รายงานว่า จากการดำเนินงานตามแผนงานโครงการ และงานปฏิรูปเร่งด่วนของรัฐบาลและกระทรวงต่างๆ ได้เกิดประโยชน์ขึ้นแล้ว 5 ระดับ คือ
- ประชาชนมีหลักประกัน สวัสดิการพื้นฐานและมีจิตอาสา
- มีสถาบันการเงินชุมชน
- ภาคธุรกิจได้รับการยกเลิก ปรับปรุงกฎหมายที่ล้าสมัยเป็นอุปสรรค
- ภาครัฐมีระบบฐานข้อมูลและสารสนเทศที่ดีขึ้น
- ประเทศมีความสงบเรียบร้อย
สำหรับโครงการปฏิรูปเร็ว หรือ Quick Win ได้บังเกิดผล
- ด้านยุติธรรม มีโครงการทนายความทุกโรงพัก
- ด้านกฎหมาย มีการทบทวนกฎหมายล้าสมัยและผลักดันกฎหมายลดความเหลื่อมล้ำ
- ด้านเศรษฐกิจ มีการจัดตั้งสำนักงานบูรณาการแก้ปัญหาความยากจน และยกสถานะวิสาหกิจชุมชนเป็นนิติบุคคล
- ด้านสาธารณสุข มีโครงการความรอบรู้สุขภาพและคลินิกหมอครอบครัว
- ด้านสังคม มีโครงการปลูกต้นไม้เป็นทรัพย์สิน ส่งเสริมการออม และสร้างชุมชนเข้มแข็ง
- ด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม มีโครงการจัดการน้ำเชิงพื้นที่แบบมีส่วนร่วม
- ด้านพลังงาน มีโครงการเสรี solar roof top
ในมุมมองหมอพลเดช มีข้อสังเกตและข้อเสนอแนะบางประการ ดังนี้
1.ต่อลักษณะงานปฏิรูป
ความคืบหน้าตามที่ สศช.มารายงานต่อวุฒิสภาเป็นผลงานที่น่าชื่นชม แต่ส่วนใหญ่ยังคงมีลักษณะเป็นเพียง “นวัตกรรมงานพัฒนาและการบริหารจัดการ” เท่านั้น ซึ่งสามารถเป็นที่เข้าใจและยอมรับได้สำหรับยุครัฐบาลประยุทธ (1) เนื่องจากรัฐบาลในยุคนั้นมีภารกิจแก้ปัญหาแบบเฉพาะหน้าของประเทศอยู่มากมาย
ดังนั้นเมื่อมาถึงรัฐบาลประยุทธ์ (2) ต่อไปนี้ก็ควรต้องถึงเวลาขับเคลื่อนการปฏิรูปใหญ่ตามแผนปฏิรูปประเทศทั้ง 11(+1) ด้าน ดังที่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษา กันอย่างจริงจังเสียที
2.ความเข้าใจต่อการปฏิรูป
ความหมายของการปฏิรูป คือการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและระบบ อันส่งผลสะเทือนขนานใหญ่ ซึ่งต้องการการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงจากสิ่งเก่า อย่างน้อยใน 3 ระดับ จากล่างสู่บน จากลึกสู่กว้าง
ได้แก่ 1)การปฏิรูปวิธีคิดและจิตสำนึกของสังคมและชุมชนที่เกี่ยวข้องต่อเรื่องนั้น 2)การปฏิรูประบบความสัมพันธ์ทางสังคมในเรื่องนั้นกันใหม่ อาทิ ความสัมพันธ์ระหว่างข้าราชการกับประชาชน ระหว่างผู้ให้บริการกับผู้รับบริการ ผู้ค้ากับผู้บริโภค หมอกับคนไข้ ครูกับนักเรียน 3)การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ กฎกติกาและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง
3.ระวังหลุมพราง
หลุมพรางของการปฏิรูป ที่สังคมไทยมักจะพลาดพลั้งตกลงไป จนทำให้การปฏิรูป “ได้ทำ” แต่ไม่ประสบความสำเร็จ หลุมพรางเหล่านี้ ได้แก่ 1)วิธีการแบบ top-down strategy 2)การมุ่งเป้าหมายการออกกฎหมายเพื่อใช้บังคับแต่อย่างเดียว ไม่ทำอย่างอื่นไปด้วย ซึ่งมักนำไปสู่สภาวะ“เสร็จแล้ว” และก็”จบกัน”แต่เพียงเท่านั้น 3)การปล่อยให้เป็นการปฏิรูปเป็นของราชการโดยราชการ เพื่อราชการ ขาดการมีส่วนร่วมของอีก 2 ภาคีใหญ่ คือภาคสังคมและภาคธุรกิจ จึงไม่มีพลังที่มากพอที่จะไปให้ถึงและขาดสมดุล
4.หัวใจความสำเร็จ
ในยุคแห่งการปฏิรูปภาคปฏิบัติเช่นนี้ หัวใจความสำเร็จ คือ
“กระบวนการมีส่วนร่วม”
“การปฏิรูปโครงสร้างระบบราชการและกระจายอำนาจ”
“การปฏิรูปเชิงพื้นที่ให้เกิดผลสำเร็จเชิงรูปธรรม”
ยุทธศาตร์การปฏิรูปเชิงพื้นที่ มี 3 ระดับที่ต้องคำนึงถึง ได้แก่ 1)เรื่องชุมชนเข้มแข็ง ควรใช้ตำบลพื้นที่เป้าหมาย 2)เรื่องบูรณาการแบบประชารัฐ ควรใช้อำเภอเป็นเป้าหมาย 3)ปฏิรูปเศรษฐกิจท้องถิ่น ควรใช้จังหวัดเป็นเป้าหมาย
5.การปฏิรูปเชิงพื้นที่
การปฏิรูปเชิงพื้นที่ ได้มีการริเริ่มมาบ้างแล้วตั้งแต่รัฐบาลประยุทธ์ (1) โดยครม.ได้มอบหมายให้ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) เป็นผู้ดำเนินโครงการสร้างการรับรู้และมีสวนร่วมของประชาชนต่อยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูป” เมื่อปี 2561
ในคราวนั้น สช.ได้ดำเนินการโดยอาศัยเครือข่ายสมัชชาสุขภาพจังหวัดทั่วประเทศเป็นผู้ขับเคลื่อนเวที สร้างการมีส่วนร่วมในการปฏิรูปเชิงพื้นที่ รวม 102 เวที ใน 77 จังหวัด มีประเด็นปฏิรูปเชิงพื้นที่ ที่สามารถเรียกได้ว่าเป็น Local Reform Agenda เกิดขึ้นแล้วจากเวทีทั่วประเทศ รวม 531 เรื่อง
นอกจากนั้น สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติยังมีฐานทุนสำคัญในเรื่องการมีส่วนร่วมตาม พรบ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.2550 คือมติสมัชชาสุขภาพแห่งชาติจำนวน 81 เรื่อง มติสมัชชาสุขภาพจังหวัด 126 เรื่อง และประเด็นร่วมของกรรมการเขตสุขภาพเพื่อประชาชน อีกจำนวน 58 เรื่อง
ซึ่งรัฐบาลควรจัดงบประมาณสนับสนุนให้เครือข่ายเหล่านี้ได้ดำเนินการขับเคลื่อนการปฏิรูปดังกล่าวต่อไปอย่างต่อเนื่อง และมุ่งหวังให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เป็นรูปธรรมในทุกจังหวัด
6.บทบาทของ ส.ว.
บทบาทของ ส.ว.ในฐานะฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งรัฐธรรมนูญกำหนดให้มีหน้าที่เพิ่มเติมในการติดตาม เสนอแนะและเร่งรัดการปฏิรูป ส.ว.ควรใช้ยุทธศาสตร์แรงดึง (pull strategy) เพื่อประคับประคอบและเกื้อหนุนการปฏิรูปของฝ่ายบริหารและหน่วยงานกระทรวงต่างๆ
เพราะ ส.ว. ไม่ใช่หน่วยปฏิบัติ ไม่มีหน้าที่ขับเคลื่อนด้วยตัวเอง (drive) เหมือนฝ่ายบริหาร และไม่ใช่ภาคประชาชนหรือประชาสังคมที่จะใช้วิธีกดดันเรียกร้อง (push strategy) หลักการสำคัญในการดึง ผู้ดึงต้องวางตนเองอยู่ในตำแหน่งข้างหน้าต่อสิ่งที่จะดึง ซึ่งในที่นี้ต้องออกแรงดึงทั้งสองมือ ด้านหนึ่งดึงรัฐบาล อีกด้านหนึ่งต้องดึงประชาชน โดยต้องให้ทั้งสองส่วนประสานและเกื้อหนุนกันไป.
มี่มาของรูปหน้าปก https://www.nationweekend.com/columnist/28/2342?utm_source=bottom_relate&utm_medium=internal_referral