โดย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา, 25 กุมภาพันธ์ 2563
เพราะว่าการมีส่วนร่วมไม่ใช่เป็นเพียง “วาทกรรม” และไม่ใช่แค่ “พิธีกรรม”
มาตรการ “การมีส่วนร่วมของประชาชน” อาจไม่ใช่ตัวยาหลักของกระบวนการพัฒนา แต่ก็เป็นเสมือน “ยาดำ” ที่แทรกผสานอยู่ในสูตรยาปฏิรูปทุกตำรับ ขาดไม่ได้เช่นกัน
กล่าวคือ ไม่ว่าจะเป็นงานปฏิรูปที่มุ่งเปลี่ยนแปลงในเชิงระบบและโครงสร้าง หรือจะเป็นแค่งานพัฒนาในสภาวะปกติ ด้านใดใดก็ล้วนต้องการกระบวนการมีส่วนร่วมด้วยกันทั้งสิ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการมีส่วนร่วมที่ “จริงจังและมีคุณภาพ”
ขณะนี้มีร่างกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับประเด็นส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ที่มาจากแผนปฏิรูปประเทศ อย่างน้อย 3 ฉบับ
เป็นที่เข้าใจดีว่า การมีกฎหมายสนับสนุนสักฉบับจะเป็นเครื่องมือการขับเคลื่อนนโยบายที่มีความมั่นคงมากกว่าแผนงาน มติ คำสั่ง หรือระเบียบใด ในแผนปฏิรูปแต่ละด้านจึงมีข้อเสนอและผลักดันร่างกฎหมายมาให้เป็นประเด็นงานรูปธรรมที่ต้องติดตาม เสนอแนะ
เรื่องแรก กรณี (ร่าง) พรบ.การมีส่วนร่วมของประชาชนในกระบวนการนโยบายสาธารณะ พ.ศ. ...
(ร่าง) พรบ. ฉบับนี้ เป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และเป็นส่วนหนึ่งของแผนปฏิรูปประเทศด้านพลังงานด้วย
จุดตั้งต้นมาจากสภาปฏิรูปแห่งชาติ (สปช.) ได้จัดทำยกร่าง พรบ. ฉบับนี้เมื่อปี 2558 ต่อมาได้ผ่านกระบวนการเวทีมามากมาย จนล่าสุดได้เข้าสู่การพิจารณาของครม. ซึ่งมีมติเห็นชอบในหลักการ เมื่อ 4 ธ.ค. 2561 และขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการทำงานของสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา
(ร่าง)กฎหมายนี้ มุ่งรับรองสิทธิประชาชนในการรับทราบข้อมูลข่าวสารของโครงการที่จะกระทบต่อชุมชน และสิทธิในการมีส่วนร่วมเสนอความคิดเห็นในโครงการพัฒนา ให้หน่วยงานมีหน้าที่สนับสนุน ถ้าหน่วยงานไม่ทำ ประชาชนก็มีสิทธิร้องต่อคณะกรรมการ ซึ่งมีบทลงโทษ
เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้ว แม้ว่าจะยังมีความเป็นห่วงอยู่บ้างในเรื่องสถานะและรูปแบบของหน่วยงานเลขานุการที่กำหนดให้เป็นหน่วยราชการภายในสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ด้วยเกรงว่าจะติดการทำงานแบบระบบราชการจนเกินไป แต่เมื่อกระบวนการได้ก้าวหน้าไปค่อนข้างมากแล้ว จึงมีข้อเสนอแนะว่า รัฐบาลควรเร่งรัดการทำงานของสคก. เพื่อจะได้นำร่างกฎหมายฉบับนี้เข้าสู่การทำงานร่วมกันในรัฐสภาโดยเร็ว
เรื่องที่ 2 กรณี (ร่าง) พรบ.การเสริมสร้างวัฒนธรรมทางการเมืองในระบบประชาธิปไตย พ.ศ…
อันนี้เป็น (ร่าง)พรบ.ที่เสนอโดยกรรมาธิการปฏิรูปการเมือง ในสภาขับเคลื่อนการปฏิรูปประเทศ (สปท.) ตั้งแต่ปี ๒๕๖๐
มุ่งให้ประชาชนมีความรู้ความเข้าใจและสำนึกการเป็นพลเมือง มีส่วนร่วมในการพัฒนาโดยการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่น ต่อต้านทุจริต ใช้สิทธิทางการเมือง ยอมรับความเห็นที่แตกต่าง นักการเมืองซื่อสัตย์สุจริต
ให้จัดตั้งสำนักงานเสริมสร้างวัฒนธรรมการเมืองในระบอบประชาธิปไตย มีสถานะเป็นหน่วยงานภายในของสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
จัดให้มีสถาบันการศึกษาทางการเมืองในรัฐสภา สร้างหลักสูตรประชาธิปไตย สร้างวิทยากรหลัก อบรมนักการเมือง ส่งเสริมให้ประชาชนมีส่วนร่วมใช้สิทธิใช้เสียงและพัฒนาประเทศ
เมื่อพิจารณาโดยละเอียดแล้ว พบว่าในแผนปฏิรูปประเทศด้านการเมืองยังขาดความชัดเจนว่า จะให้องค์กรใดรับผิดชอบผลักดันกฎหมายฉบับนี้ กระทรวงใดในฝ่ายบริหาร หรือว่าหน่วยงานใดจากฝ่ายรัฐสภา
ข้อเสนอคือ รัฐบาลควรจะได้ประสานกับคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองทำให้ชัด ควรระบุเพิ่มเติมด้วยว่า นี่เป็นวัฒนธรรมการเมืองในระบบประชาธิปไตย “อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข”
เรื่องที่ 3 กรณี(ร่าง)แก้ไข พรบ.ว่าด้วยการเข้าชื่อเสนอกฎหมาย พ.ศ…
อันที่จริง เรื่องนี้มี พรบ.ประกาศใช้มาตั้งแต่ปี 2542 แต่กลไกสนับสนุนตามกฎหมายนี้กำลังประสบปัญหาความไม่แน่นอนอย่างต่อเนื่อง
– ปี 2542 กำหนดให้สนง.กกต.เป็นกลไกสนับสนุน
– ปี 2556 เปลี่ยนมาเป็น 3 หน่วยงาน คือสภาพัฒนาการเมือง(สพม.) สำนักงานคณะกรรมการปฏิรูปกฎหมาย(คปก.) และสนง.เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร
-ปี 2559 คำสั่ง คสช.ให้ยุบเลิก สพม.และ คปก.ไปเสียแล้ว จึงทำให้ปัจจุบันไม่มีหน่วยงานสนับสนุนไม่มีหน่วยตั้งงบประมาณไม่มีการทำงาน
นอกจากนั้น ในยุคของรัฐธรรมนูญ 2560 เงื่อนไขการเข้าชื่อเสนอกฎหมายมีการเปลี่ยนแปลงไป กำหนดจำนวน ๑๐,๐๐๐ คนสำหรับการเสนอ พรบ. ทั่วไป และ 50,000 คน สำหรับการเสนอแก้ไขปรับปรุงกฎหมายรัฐธรรมนูญ จึงเป็นที่มาของการต้องแก้ไขเพิ่มเติม พรบ. ฉบับนี้
งานนี้เป็นส่วนหนึ่งของแผนการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมาย ระบุหน่วยงานที่รับผิดชอบคือ สำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร จึงอยากให้รัฐบาลประสานกับสำนักงานสภาผู้แทนราษฎร เพื่อร่วมกันผลักดัน
เรื่องสุดท้าย กรณี “คุณภาพและความจริงจังในกระบวนการมีส่วนร่วมของประชาชน”
เพราะว่าการมีส่วนร่วมไม่ใช่เป็นเพียง “วาทกรรม” และไม่ใช่แค่ “พิธีกรรม”
โชคไม่ดีที่หน่วยงานภาครัฐมักถูกตั้งเป้าหมายตัวชี้วัด และถูกกำกับการทำงานด้วยกรอบเวลาตามปีงบประมาณ ทำให้ต้องเร่งใช้เงินงบประมาณแบบรีบร้อน โดยเฉพาะในช่วงปลายปีงบประมาณ กระบวนการมีส่วนร่วมของหน่วยงานราชการจึงมักเป็นไปในเชิง “รูปแบบ-พิธีกรรม” มากกว่าที่จะพิธีพิถันในด้าน “คุณภาพและผลสัมฤทธิ์”
ในแต่ละปี ประเทศชาติจึงต้องสิ้นเปลืองงบประมาณไปกับพิธีกรรมเหล่านี้อย่างมากมาย
มีข้อเสนอแนะในเรื่องนี้ว่า รัฐบาลควรจัดให้มีหน่วยงานหรือสถาบันทางวิชาการที่ทำหน้าที่ในการพัฒนามาตรฐานด้านกระบวนการมีส่วนร่วม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคนิคการมีส่วนร่วมในรูปแบบใหม่ๆ จัดฝึกอบรมด้านวิชาการ
พูดเช่นนี้ มิได้หมายความว่าจะต้องให้ตั้งหน่วยงานใหม่ เพราะเราสามารถมอบหมายภารกิจและงบประมาณให้สถาบันวิชาการที่อยู่ตามภูมิภาค เลือกเอาส่วนที่มีศักยภาพ มอบให้ดูแลรับผิดชอบการพัฒนามาตรฐานด้านการมีส่วนร่วมของหน่วยราชการกระทรวงต่างๆที่อยู่ในพื้นที่ตั้งของตนก็ย่อมได้
นอกจากนั้น ยังมีหน่วยงานอิสระของรัฐอีก 2 แห่ง ที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้และอยู่ในวิสัยที่จะช่วยรัฐบาล
หน่วยแรก คือ สถาบันพระปกเกล้า ซึ่งเป็นองค์กรอิสระมหาชน ที่อยู่ในกำกับของประธานรัฐสภา หน่วยงานนี้เขาเก่งในเรื่องวิจัยและพัฒนา เรื่องจัดหลักสูตรการฝึกอบรม
ส่วนอีกหน่วยหนึ่ง คือ สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ เป็นองค์กรอิสระมหาชน ที่อยู่ในกำกับของนายกรัฐมนตรี หน่วยงานนี้เก่งในเรื่องเครือข่าย และการขับเคลื่อนสังคม
ลองไปปรึกษาหารือกันดูนะครับ
ขอบคุณภาพหน้าปกจาก nationweekend.com