“ สังศิต พิริยะรังสรรค์ : สี่นวัตกรรมแก้จน ” รายงานประชาชน โดย ส.ว.พลเดช (ฉบับที่ 152)

เพื่อรวบรวมองค์ความรู้และภูมิปัญญาแก้จนจากผู้ทรงความรู้ในวุฒิสภา นำไปใช้เป็นกรอบการจัดทำข้อเสนอ  เชิงนโยบาย เสนอรัฐบาลชุดต่อไป ผมได้นั่งสนทนาแบบเจาะลึกกับ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ ประธานกรรมาธิการ  การแก้ความยากจนฯ

ท่านมองว่า ความยากจนวัดกันด้วยเม็ดเงินดีที่สุด ทางเศรษฐศาสตร์เขาพยายามทำอยู่แม้จะยาก คนจนในภาคการเกษตรดูเหมือนว่ารายได้น้อยแต่เขาไม่ได้รู้สึกยากจน ผิดกับคนอยู่ในเมืองที่ต้องอาศัยเม็ดเงินในชีวิตประจำวัน 

ท่านวิพากษ์แนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบที่เชื่อมั่นใน GDP Growth ว่าส่วนที่เจริญขึ้นไป จะไหลลงมาให้กับคนตรงกลางแล้วเลยมาถึงคนข้างล่าง เป็นแนวคิดที่ผิดพลาดและเป็นปัญหา

ระบบราชการไทยบริโภคทรัพยากรมากเกินไป ในทางเศรษฐศาสตร์ต้องยอมรับว่าราชการ ทหาร ตำรวจ อัยการ ล้วนเป็นแรงงานที่ไม่ Productive บริโภคอย่างเดียว ไม่สร้างผลผลิต งบประมาณราชการควรจะลดลงได้ 30-50%  ถ้าเอาส่วนนี้มาทำเรื่องการศึกษา เรื่องสวัสดิการ เรื่องโอกาสคนมีงานทำ จะดีกว่านี้เยอะ  หน่วยงานราชการเต็มไปด้วยความซ้ำซ้อน

กระทรวงศึกษาธิการได้รับงบประมาณมากที่สุด แต่ปรัชญาการศึกษาแบบที่เป็นอยู่ เป็นปรัชญาการศึกษาที่ล้าสมัย ไม่สามารถที่จะใช้กับโลกแห่งความเป็นจริงได้ เด็กนักศึกษาที่เรียนจบแล้วได้ทำงานอาชีพกันน้อยมาก ไม่รู้ว่าถึง 5% หรือเปล่า ที่เหลือส่วนใหญ่วิชาที่เรียนไปใช้ไม่ค่อยได้ ทุกคนต้องไปดิ้นรนหางานหาอาชีพทำเอาเอง 

ท่านให้ความสำคัญต่อการมองหานวัตกรรมทางสังคมที่สามารถใช้แก้จนลดเหลื่อมล้ำ  ในฐานะกรรมาธิการ ต้องเลือกหยิบยกเอาบางประเด็นที่แม้จะไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่สังคมสนใจ แต่เป็นประเด็นใหญ่ในชีวิตของคนจน ชาวบ้านพอใจก็ถือว่าแก้ถูกทาง ถ้าเราพอใจแต่ชาวบ้านไม่พอใจ อันนี้ก็ยังไม่ใช่

1) เรื่องแหล่งน้ำขนาดเล็กของชุมชน

ถือว่าเป็นนวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีและนวัตกรรมทางสังคม เป็นแนวคิดการจัดการแหล่งน้ำที่ออกไปนอกกรอบ จากเดิมเคยเชื่อมั่นต่อแนวทางแหล่งน้ำขนาดใหญ่และขนาดกลาง เพราะไม่มีความรู้ 

เรื่องนี้ถือเป็นธงของกรรมาธิการ เพราะว่าสามารถทะลวงแก้ปัญหาชาวบ้านได้ทั้งพื้นที่ภาคอีสานและภาคเหนือตอนบน คนเริ่มยอมรับและลงมือทำกันเอง ขยายตัวออกไปได้รวดเร็ว การแก้ปัญหาแหล่งน้ำขนาดเล็กจะช่วยทำให้คนมีน้ำทำการเกษตรได้ตลอด 365 วัน

รูปแบบหนึ่ง คือ ฝายชะลอน้ำแกนดินซีเมนต์ และอีกรูปแบบหนึ่งเป็นระบบบ่อบาดาลน้ำตื้นร่วมกับพลังงาน    โซล่าร์เซลล์  แบบแรกชาวบ้านอาจจะใช้แรงมากหน่อย องค์การบริหารส่วนท้องถิ่นสามารถช่วยได้มาก ส่วนแบบหลังชาวบ้านทำเองได้เลย เช่นที่ทุ่งชมพูโมเดล ขอนแก่น ทำเกษตรผสมผสานและใช้ระบบน้ำหยด ดีกว่าสปริงเกอร์ ยิ่งน้ำหยดทั้งวันโดยไม่หยุด ต้นไม้จะยิ่งโตเร็ว เป็นประสบการณ์ที่ชาวบ้านศึกษาเลียนแบบจากประเทศอิสราเอล

ที่สำคัญเขาต้องทำเกษตรอินทรีย์ด้วย ถ้ามีน้ำแล้วยังปลูกแบบเดิมก็ยากจนแบบเดิม ต้องผสมผสาน ถ้าอยากจะปลูกเชิงเดี่ยวอยู่อีก ต้องประนีประนอมว่า เชิงเดียว 80% ผสมผสาน 20% ก็ได้

2. เรื่องคนกับป่า

ชาวบ้านเขาเรียกร้องเรื่องนี้กันมานาน เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ เพราะว่าคนที่เข้าไปอยู่ในป่า ไม่ได้สิทธิอะไร จะมีไฟฟ้าก็มีไม่ได้ พื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับคนมีเยอะจริงๆ

ลงไปดูสถานการณ์ ปรากฏว่า ส.ว. ช่วยเป็นคนกลางเจรจา สามารถแก้ปัญหาได้ที่เชียงรายสองกรณี โดยไม่ต้องแก้กฎระเบียบ จึงนำรูปแบบนี้ไปช่วยต่อที่ป่าสอยดาว จันทบุรี มีปัญหา 40 ปี ชาวบ้านเอาไฟฟ้าเข้ามาใช้ไม่ได้  ส.ว. ไปคุยปรึกษาหารือกับผู้รับผิดชอบหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จนในที่สุดช่วยได้โดยไม่ต้องแก้ระเบียบอะไรเลย  ที่มุกดาหารก็ช่วยไปอีก 14 กรณี รวมทั้งแก้ไขเรื่องน้ำ 16 กรณี ด้วย

3. การศึกษาแก้ยากจน สร้างพลเมือง

เรื่องของการศึกษานี้สำคัญ แต่แรกไม่รู้จะเริ่มตรงไหน จนกระทั่งมาเจอคุณหมอพลเดช ถึงได้จุดไฟติด 

ที่ดีใจที่สุด คือตอนที่ลงพื้นที่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ คุณหมอพลเดชได้หยิบยกกรณีการปฏิรูปการศึกษาในชายแดนใต้ ที่ผู้นำชุมชนท้องถิ่นสามารถเปลี่ยนค่านิยมสังคมจากการเรียนศาสนาเพียงอย่างเดียว มาเป็นการเรียนวิชาสามัญควบคู่กันมาเป็นจุดเริ่มเรื่อง พร้อมกล่าวย้ำความสำคัญของการศึกษาว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุดในการแก้ปัญหาความยากจนและการพัฒนาท้องถิ่น

จากนั้น จึงอยากเชิญชวนให้มาช่วยกันปฏิรูปการศึกษาสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ในรอบใหม่ ด้วยการปฏิรูปกระบวนการเรียนการสอนในโรงเรียนของเรา “ เปลี่ยนจากระบบการศึกษาฐานความรู้ (ท่องจำความรู้) ไปเป็นฐานสมรรถนะ (คิดเป็น ทำเป็น มีจิตสำนึกส่วนรวม) มีการเรียนการสอนเพิ่มเติมในด้านทักษะชีวิตและทักษะอาชีพ สามารถทำงานและมีรายได้โดยไม่ต้องรอเรียนจบ ไม่ต้องกลัวตกงาน ” จนทำให้ทั้งที่ประชุมขานรับข้อเสนอของ ส.ว.ด้วยความยินดี

4. เศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่น

 เรื่องการตลาด ยอมรับว่ายังรุกได้ไม่ค่อยได้มาก ต้องพยายามอาศัยภาคเอกชน จึงจะเข้าใจ เร้าใจ ถ้าเราคิดแค่ไปขายของชาวบ้านที่หน้าเทศบาล หน้าศาลากลางจังหวัด แบบนี้มันไม่ยั่งยืน

ท่านอยากเห็นวิสาหกิจชุมชนทำได้ดีพอประมาณ ให้คนรุ่นลูกหลานเขาก็ไม่ต้องไปรับจ้างที่อื่น หันกลับมาช่วยครอบครัว นำเทคโนโลยีสมัยใหม่และระบบซื้อขายออนไลน์ มาช่วยทำให้เศรษฐกิจชุมชนท้องถิ่นเติบโต.

โดย ส.ว.พลเดช ปิ่นประทีป, 7 พ.ย. 2565

รายงานประชาชน ฉบับที่ 152