การบ้านสำหรับรัฐบาลและสภาปฏิรูปแห่งชาติ (ตอนที่ 3)
: วิสัยทัศน์ด้านการเมือง การปกครอง ใน 20 ปีข้างหน้า :
พลเดช ปิ่นประทีป/ประธานมูลนิธิชุมชนท้องถิ่นพัฒนา
เขียนให้โพสต์ทูเดย์ วันพุธที่ 8 ตุลาคม 2557
การปฏิวัติสยาม 2475
การปฏิวัติสยาม พ.ศ.2475 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของประวัติศาสตร์ไทย ซึ่งมีผลทำให้ราชอาณาจักรสยามเปลี่ยนรูปแบบประเทศ จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นราชาธิปไตย ภายใต้รัฐธรรมนูญ และเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองไปเป็นระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา เกิดขึ้นจากคณะนายทหารและพลเรือนที่ประกอบกัน เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร” โดยเป็นผลพวงจากการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์โลก ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองภายในประเทศ การปฏิวัติดังกล่าวทำให้ประเทศสยามมีรัฐธรรมนูญฉบับแรก
ในระยะห้าปีแรกของการปกครองระบอบรัฐธรรมนูญ มีหลายเหตุกาณณ์เกิดขึ้น อันมีผลไปสู่ความคลอนแคลนของรัฐบาล เหตุการณ์สำคัญเรื่องหนึ่งคือ กรณีการเสนอเค้าโครงเศรษฐกิจของนายปรีดี พนมยงค์ เมื่อปี 2476 ซึ่งได้ยกร่างเค้าโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติจากนโยบายข้อสามของคณะราษฎร แต่ได้รับการวิพากษ์วิจารณ์มากกว่ามีลักษณะแนวทางแบบสังคมนิยม ทำให้เกิดการแตกแยกกันในรัฐบาลรุนแรง จนถึงขั้นมีการปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎร และงดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา ส่วนนายปรีดี ต้องเดินทางออกนอกประเทศ
หลังจากนั้นเป็นยุคที่คณะทหารและกองทัพได้เข้ามามีบทบาททางการเมืองการปกครองของประเทศ โดยการรัฐประหารยึดอำนาจและปกครองโดยราชการ จึงได้รับสมญาว่า “ยุคอมาตยธิปไตย” ตลอดช่วงเวลาดังกล่าวมีการรัฐประหารแย่งยื้ออำนาจการปกครองกันไปมาหลายครั้งโดยประชาชนไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์ 14 ตุลาคม 2516
ถามคนไทยในวาระสำคัญ
“14 ตุลา” เป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองยุคใหม่ของไทยที่มีนัยสำคัญอย่างยิ่ง เพราะเป็นการลุกฮือของนักศึกษา ประชาชน เป็นจำนวนแสนๆ คนเพื่อต่อต้านรัฐบาลเผด็จการทหาร อาจถือได้ว่าการลุกฮือดังกล่าวเป็นการเปิดประวัติศาสตร์บทใหม่ในยุคหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง
เหตุการณ์ดังกล่าวได้ผ่านมาแล้ว 41 ปีแล้ว สิ่งที่เป็นความใฝ่ฝันอันยิ่งใหญ่ของนักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนในยุคนั้น คือ อยากเห็นสังคมไทยเป็นสังคมที่เป็นธรรมและอยากมีระบบการเมืองการปกครองที่เป็นประชาธิปไตย สิ่งดังกล่าวได้จุดประกายความหวังให้กับสังคมไทยขยายตัวออกไป ที่สำคัญยังได้สร้างอุดมการณ์เพื่อประโยชน์สุขส่วนรวมและจิตอาสาให้เกิดขึ้นในหมู่คนหนุ่มสาวและผู้คนในยุคนั้นอย่างกว้างขวาง จนสามารถสืบสาน ประคับประคองและดูแลประเทศ ตลอดจนขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงในมิติและวงการต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
สำหรับการปฏิวัติสยามนั้นเล่า 82 ปีของการเปลี่ยนแปลงจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข สังคมไทยได้ผ่านประสบการณ์ทางการเมืองการปกครองและการพัฒนาประเทศมาแล้วอย่างโชกโชน ในวันนี้กระแสความตื่นตัวทางการเมืองของพลเมืองและประชาชนคนไทยได้ขยายตัวไปมากกว่ายุค 14 ตุลามาก ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ
การอภิวัฒน์ประเทศไทยอันเป็นอุดมการณ์และความใฝ่ฝันที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำการเปลี่ยนแปลงยุคนั้น ได้ขับเคลื่อนเดินทางไกลและผ่านร้อนผ่านหนาว ผ่านรอยยิ้มและคราบน้ำตา ผ่านความขัดแย้ง และการต่อสู้จนเสียเลือดเนื้อและชีวิต มาแล้วมากมายหลายเหตุการณ์
คำถามคือ ในตอนนั้น แทนที่จะเลือกเป็นระบอบการปกครองแบบสาธารณรัฐ ทำไมคณะผู้ก่อการปฏิวัติสยามจึงได้ตัดสินใจเลือกระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขและมุ่งมั่นเดินทางนั้นมาตั้งแต่ต้น และเมื่อมองไปในอนาคต ระบอบการปกครองของเราจะยังดำรงอยู่ด้วยความมั่นคงและเจริญรุ่งเรืองเหมือนระบอบของอังกฤษที่มีอายุ 600 ปี และระบอบของเดนมาร์กที่มีอายุ 165 ปีในปัจจุบันหรือไม่
คำถามที่มีต่อคนไทยในวันนี้ก็คือ จากนี้ไปอีกประมาณ 20 ปี เมื่อครอบวาระ 100 ปีของการปฏิวัติสยาม ประเทศไทยของเราจะเดินไปสู่สถานีที่เป็นจุดหมายปลายทางใด และความใฝ่ฝันอันงดงามที่ผู้นำการเปลี่ยนแปลงริเริ่มและบุกเบิกไว้เมื่อ 80 ปี ก่อน เราจะสามารถส่งต่อให้กับคนรุ่นลูกรุ่นหลายได้ในสภาพเช่นไร
ปัญหาด้านการเมืองการปกครอง
- ระบบราชการที่ใหญ่โตมากและพยายามรวมศูนย์อำนาจไว้ที่ส่วนกลาง ได้เปิดโอกาสให้นักธุรกิจการเมืองสามารถเข้ายึดกุมอำนาจเบ็ดเสร็จได้อย่างง่ายดาย นำไปสู่การทุจริตคอร์รัปชั่นที่มโหฬาร พร้อมกับการทำลายระบบคุณธรรมจริยธรรมของข้าราชการแทบหมดสิ้น เป็นผลให้ระบบราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาคอ่อนแอ และเหนื่อยล้าลงทั้งระบบ เกียรติภูมิข้าราชการในสายตาของประชาชนเสื่อมถอยลงอย่างมากและรวดเร็ว ปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็แก้ให้ประชาชนไม่ได้ เพราะอยู่ห่างไกลและไม่รู้จริง จะโยนให้ทอ้งถิ่นช่วยก็ไม่ได้ให้อำนาจและทรัพยากรแก่เขาอย่างเพียงพอ ส่วนปัญหาใหญ่ ๆ ยิ่งไม่ต้องพูดถึง จนทำท่าว่าจะเป็นรัฐที่ล้มเหลว
- ระบอบประชาธิปไตยที่ยึดถือระบบเลือกตั้งตัวแทนเป็นใหญ่ ได้นำมาซึ่งการเติบโตของนักธุรกิจการเมืองและทุนนิยมสามานย์ที่ผนึกกำลังกันเข้ายึดกุมอนำาจรัฐแบบกินรวบเบ็ดเสร็จ และดำเนินการโกงบ้านกินเมืองกันอย่างครึกโครมด้วยความย่ามใจขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้ประชาชนพลเมืองเกิดทนไม่ไหว จึงลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ชั่วรร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า ระหว่างปี 2551-2557 มีการชุมนุมใหญ่ทางการเมืองที่นำไปสู่ความรุนแรง 8 ครั้ง จนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางอำนาจการเมอืง แบบพลิกกลับกันไปมาอยู่หลายรอบ สถิติคดีของศาลยุติธรรม พบว่าจำนวนคดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรไทยเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนในช่วงดังกล่าว คือในปี 2555 มี 83 คดี ส่วนปี 2556 มีเพิ่มขึ้นเป็น 233 คดี
วิสัยทัศน์ด้านการเมืองการปกครอง
- วิสัยทัศน์ใน 20 ปี ข้างหน้า คือ ประเทศไทยประสบความสำเร็จในการปฏิรูประบบการเมืองการปกครองครั้งใหญ่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน สามารถปรับเปลี่ยนบทบาทและอำนาจหน้าที่จนเกิดความสมดุลระหว่างระบบราชการส่วนกลางและท้องถิ่น มีจังหวัดหรือกลุ่มจังหวัดที่เป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นพิเศษขนาดใหญ่ที่สามารถจัดการตนเองได้มากขึ้น อย่างน้อยร้อยละ 50
ระบบการเมืองระดับชาติเกิดความลงตัวในมิติใหม่ โดยมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอำนาจทางการเมืองและระบบตรวจสอบถ่วงดุลทั้งระบบ อย่างมีประสิทธิภาพ จนเกิดเสถียรภาพและวัฒนธรรมการเมืองที่อาระยะและโดดเด่นเป็นกรณีศึกษาสำหรับกลุ่มประเทศภูมิภาคอาเซียน
Be the first to comment on "การบ้านสำหรับรัฐบาลและสภาปฏิรูปแห่งชาติ (ตอนที่ 3)"