สติสาธารณะกับความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้

คงไม่เกินเลยไปหากจะใช้คำว่าแผ่นดินในสามจังหวัดภาคใต้ของเรากำลังจะลุกเป็นไฟ ชีวิตผู้คนกำลังถูกผลักไสให้เข้าพบกับความทุกข์ยากเป็นสาหัส  ในฐานะเพื่อนมนุษย์….จากจุดยืนของพลเมืองที่ถือว่า “บ้านเมือง…เรื่องของเรา” เราจะร่วมกันทำอะไรกันได้บ้าง

 

 

อ.ขวัญสรวง  อติโพธิ

สถาบันการเรียนรู้และพัฒนาประชาสังคม

 

           คงไม่เกินเลยไปหากจะใช้คำว่าแผ่นดินในสามจังหวัดภาคใต้ของเรากำลังจะลุกเป็นไฟ ชีวิตผู้คนกำลังถูกผลักไสให้เข้าพบกับความทุกข์ยากเป็นสาหัส  ในฐานะเพื่อนมนุษย์ ในฐานะประชาชนพลเมืองร่วมชาติร่วมแผ่นดินเกิด เราไม่อาจดูดายให้เรื่องนี้ดำเนินต่อไปในหนทางเช่นนี้ได้ จากจุดยืนของพลเมืองที่ถือว่า บ้านเมือง…เรื่องของเรา เราจะร่วมกันทำอะไรกันได้บ้าง

การทวีตัวของความรุนแรง

สภาพการทวีความรุนแรงก่อความเสียหายร้าวฉานหนักหนาขึ้นทุกขณะในพื้นที่สามจังหวัดภาคใต้นั้น มองในเชิงระบบกล่าวได้ว่าเรากำลังเกิดภาวะการส่งผลกระทบกลับไปกลับมาของความรุนแรงที่ทวีตัวบานปลายเพิ่มขี้นทุกที (Positive Feedback) ล่าสุดผ่านกรณี 87 ศพที่ตากใบเรื่องความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ก็ถูกฉุดกระชากให้ยกระดับเข้าเชื่อมโยงกับปัญหาการก่อการร้ายระดับโลกเรียบร้อยแล้ว เรื่องราวจะหนักหนาขึ้นอีกสักแค่ไหนไม่มีใครรู้

          ในธรรมชาติ เมื่อเสือผอมที่ปราดเปรียวออกวิ่งล่าเหยื่อมาเป็นภักษาหารอยู่เป็นนิจ เสือก็จะอ้วนขึ้นทุกทีเหยื่อก็จะถูกกินลดจำนวนน้อยลงทุกวัน แต่ในขณะเดียวกันความอ้วนของเสือก็จะค่อยๆส่งผลให้เสือกลับเริ่มอุ้ยอ้ายวิ่งช้าลงทุกขณะ จึงเริ่มจะจับเหยื่อได้น้อยลง เหล่าเหยื่อก็จะมีโอกาสค่อยๆเพิ่มจำนวนขึ้น ส่วนเสือก็จะค่อยๆกลับผอมลงอีกครั้ง เสือมีอ้วนมีผอมขึ้นลง เหยื่อมีน้อยมีมากไปตามกันได้อย่างนี้

เห็นได้ว่าเมื่อเกิดภาวะการกระทบที่ก่อให้เกิดการทวีตัวขึ้น ในที่สุดธรรมชาติก็จะก่อภาวะย้อนรอยทำให้เกิดผลกระทบที่ทำให้เกิดการลดตัวลง (Negative Feedback) เกิดการเปลี่ยนแปลงกลับไปกลับมาที่เลี้ยงรักษาดุลยภาพได้เองอย่างน่าอัศจรรย์

          โลกของธรรมชาติเป็นอย่างนี้  ในโลกในสังคมมนุษย์เอง  ภาวะทบตัวอย่างนี้ก็เกิดขึ้นได้เช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นผัวเมียที่เริ่มทะเลาะกันด้วยเรื่องเล็กๆน้อยๆแต่ลืมภาษิตโบราณที่บอกว่า รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ ปล่อยให้โทสะเข้าครอบงำ ลำเลิกล่วงเกินกันและกันจนหนักขึ้นทุกทีจนเลยไปถึงขั้นบ้านแตกแยกคู่ หรืออย่างในกรณีการล้มลงของธนาคารเพราะข่าวลือที่ว่าแบ๊งค์กำลังจะเจ๊งได้เข้าทบตัวกับความแตกตื่นแย่งกันถอนเงินของเหล่าลูกค้า ยิ่งถอนก็ยิ่งตื่น ยิ่งตื่นก็ยิ่งถอน ทบทวีกันไม่กี่ทีแบ๊งค์ก็เลยล้มเอาจริงๆ

ภาวะการทบตัวที่เกิดในโลกของมนุษย์อย่างนี้จะไม่มีการกลับเข้าสู่ดุลยภาพได้เองเช่นในธรรมชาติ มนุษย์เราจะต้องรู้จักที่จะเข้าใจเรื่องราว เกิดภาวะทบตัวบวกพาเข้าหาวิกฤติก็ต้องรู้จักก่อภาวะทบตัวลบเข้าหักล้างแก้ไข

          กลับมาที่กรณีสามจังหวัดภาคใต้ บ้านเราจะรู้จักทำอะไร ให้เกิดอะไร ที่ก่อให้เกิด Negative Feedback ที่จะค่อยๆทุเลาเหตุการณ์ ค่อยๆเกิดการร่วมกันแก้ไขผ่อนคลายปัญหา ค่อยๆนำสันติภาพกลับมาสู่แผ่นดินสู่ชีวิตพี่น้องชาวไทยในภูมิภาคนี้ได้ หนทางแห่งความรุนแรงและการใช้กำลังมีแต่พาเรื่องให้หนักหนา ก่อ Positive Feedback มากขึ้นทุกที การใช้ความรุนแรงไม่มีทางที่จะทำหน้าที่ทุเลาปัญหาแก้วิกฤติชนิดนี้ให้เบาลงได้ ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่เต็มโลก  แต่รัฐบาลของเราเองกลับกำลังดิ่งเดินอยู่ในหนทางเส้นนี้ ใช่หรือเปล่า น่าวิตกหรือไม่


 

 

คือการเมืองภาคพลเมืองตัวสำคัญ

 

เมื่อไรที่ประชาชนคนส่วนตัวริเริ่มลงมือร่วมกันกระทำกิจธุระต่างๆของส่วนรวม จังหวะนั้นเองเขากำลังเคลื่อนตัวเข้าสู่เป็นพลเมืองที่กำลังทำการเมืองเรื่องของส่วนรวม

ปัญหาความมั่นคงของชาติเช่นปัญหาความรุนแรงที่ภาคใต้เป็นเรื่องของส่วนรวมหรือเปล่า เป็นเรื่องของการเมืองหรือไม่ ถ้าเป็น จากสถานการณ์ที่เป็นอยู่เพียงพอแล้วหรือที่จะปล่อยให้การเมืองภาครัฐ รับผิดชอบเรื่องนี้ไปตามลำพัง จำเป็นหรือไม่ที่ประชาชนคนทั่วๆไปที่รักบ้านรักเมือง รักสันติภาพ จะลุกขึ้นก้าวพ้นจากความเป็นเอกชนคนส่วนตัวเข้าร่วมสร้างสรรค์ทำการเมืองภาคพลเมือง เพื่อเข้าพบปัญหาส่วนรวมตัวสำคัญนี้

หลักคิดก็คือ ประเทศชาตินั้นเป็นของเราทุกคน โดยพื้นฐานเราจึงมีสิทธิและหน้าที่ในการดูแลรับผิดชอบประเทศชาติ ในฐานะเจ้าของเราจะรู้จักตื่น รู้จักลุกขึ้นมาร่วมกันทำการเมืองภาคพลเมืองในกรณีสามจังหวัดภาคใต้ในครั้งนี้หรือไม่ อย่างไร หรือว่าจะดูดายหลับใหล ปล่อยวางให้การเมืองระบบตัวแทน (ชื่อก็บอกแล้วว่าเป็นตัวแทนไม่ใช่เจ้าของ) ทำเรื่องของส่วนรวมเรื่องนี้ไปโดยลำพัง ทำไปในหนทางที่เห็นว่ามีแต่จะทบทวีความรุนแรง ไม่เห็นทางที่จะดีขึ้นหรือเบาลงได้

 

ความเป็นจริงที่ห้อมล้อม

 

 

            พูดกันตรงๆ คนไทยเรานั้นยังชิน ยังคุ้นที่จะเป็นราษฎรผู้ประจำการอยู่แต่ในภาคส่วนตัว ทอดธุระส่วนรวมต่างๆให้ภาครัฐรับไปทำให้อยู่นมนานกาเล การเมืองภาคพลเมืองที่ผู้คนถือตนว่าเป็นเจ้าของประเทศ ลุกขึ้นร่วมกันทำธุระของส่วนรวมต่างๆ ทั้งทำเองและมีส่วนร่วมกับภาครัฐ แทบจะเป็นเรื่องที่คนไทยเราไม่รู้จัก นึกไม่ค่อยออก เมื่อเข้าพบปัญหาความมั่นคงของชาติผ่านกรณีสามจังหวัดภาคใต้ในคราวนี้ หวังได้แค่ไหนว่าคนไทยเราจะออกมาเป็นธุระใส่อกใส่ใจ นี่เป็นความจริงประการหนึ่ง

          ความจริงอีกประการหนึ่งก็คือ ในช่วงสามสี่เดือนที่จะถึงนี้ การเมืองภาคตัวแทนของเรากำลังจะยกทัพเข้าช่วงชิงอำนาจ กระทำการเลือกตั้งแย่งเก้าอี้ผู้แทนกันเป็นโกลาหลและเอาเป็นเอาตาย การเข้าแก้ไขปัญหาต่างๆของประเทศชาติในช่วงคาบลูกคาบดอกช่วงนี้ จึงซ้อนทับกับความมั่นคงของพรรค จะมีผลเป็นการได้เสียขึ้นลงของกระแสนิยมและคะแนนเสียงอย่างสำคัญ กรณีความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้กำลังเป็นปัญหาที่มีความอ่อนไหวทางการเมืองฟากระบบตัวแทนยิ่งนัก

จึงน่าหนักใจหรือไม่ว่ากระบวนการเข้าพบปัญหาแก้ไขปัญหาวิกฤติใต้ของเหล่านักการเมืองตัวแทนทุกซีกฝ่ายในช่วงใกล้เลือกตั้งครั้งนี้ จะอยู่ในร่องในรอย คิดอย่างที่ควรคิด ทำอย่างที่ควรทำ ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดก็คือ การอั้นราคาน้ำมันดีเซลเอาไว้จนกว่าจะพ้นการเลือกตั้ง โดยแลกกับความเสี่ยงของการแบกรับส่วนต่างที่ค่อยๆเอาไว้ใช้คืนในอนาคตจำนวนมหึมา

            ในความหมายที่กว้างสุดๆ การเมืองก็คือการทำธุระส่วนรวมของบ้านเมืองให้ไปรอดไปดี แต่ในพื้นที่การทำการเมืองเพื่อส่วนรวมนี้ก็จะมีการทำการเมืองอยู่อีกสองภาคคือการเมืองภาครัฐ  (การเมืองระบบตัวแทนและเจ้าหน้าที่กลไกรัฐ) กับการเมืองภาคพลเมือง จึงเห็นได้ว่าในนามของส่วนรวมเราจะมีการทำการเมืองอยู่สองภาคที่ร่วมปริมณฑลกันอยู่

 

ความเคยชินที่น่ากลัว

 

 

            ในสังคมศิวิไลซ์ มีความเจริญเป็นประชาสังคม (Civil Society) นั้น การเข้าพบและเข้าแก้ไขปัญหาบ้านเมืองเขาจะถือเอาการใช้สติปัญญาวิชาความรู้เป็นเครื่องมือสำคัญ ถือเอาการตกลงหาข้อยุติด้วยวาทะกรรมเป็นเครื่องตัดสิน (Discourse Society) สังคมเช่นนี้จึงห่างไกลจากอคติและความบุ่มบ่ามใช้กำลัง

          มองกันในแง่มุมนี้ สังคมไทยของเราเป็นอย่างไร พูดกันตรงๆอีกครั้งผมเห็นว่าสังคมของเราห่างไกลจากความถี่ถ้วนในการใช้สติปัญญาวิชาความรู้ในการเข้าพบและตัดสินเรื่องของส่วนรวมเป็นอย่างยิ่ง ทักษะและประสบการณ์ในด้านนี้ของเรามีน้อยกว่าน้อย  ความเคยชินเช่นนี้เมื่อบวกกับการเป็นราษฎรที่รักจะไม่เอาธุระเรื่องของส่วนรวม หวังบริโภคบ้านดีเมืองดีจากการมอบให้ทำให้ของการเมืองภาครัฐตลอดมา  คนไทยเราจึงพร้อมที่จะชอบง่ายไม่คิดมากติดบริการ มองความมั่นคงของตัวเองเป็นเรื่องเดียวกับความมั่นคงของรัฐบาล ถูกภาครัฐปลูกฝังและอบรมหรือกระทั่งปลุกปั่นให้ใช้อคติไปคิดแรงทำแรงในเรื่องของชาติบ้านเมืองได้ตลอดมา

          เรื่องเหตุการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ เป็นเรื่องที่สลับซับซ้อนและมีความละเอียดอ่อน ต้องการความรู้ความเข้าใจปัญหาและทัศนคติที่มีความลึกและความละเอียดตามกันไป ประชาชนคนไทยโดยเฉพาะอย่างยิ่งชาวบ้านร้านตลาดจะเข้าถึงเข้าใจปัญหาบ้านเมืองปัญหานี้ได้ดีแค่ไหน เข้าใจดีก็เพื่อที่จะได้เป็นทุนทางสติปัญญาเกิดวิจารณญาน มีปฏิกิริยาและพฤติกรรมที่เหมาะสมกับกรณีนี้

          เป็นที่น่าวิตกหรือไม่ว่า ขณะนี้เมื่อเหตุการณ์รุนแรงที่สามจังหวัดกำลังหนักหนาขึ้น ก็เริ่มปรากฏความคิดและการถกเถียงปลุกปั่นในสื่อต่างๆที่เต็มไปด้วยอคติและการยุยง โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกระดานเว็บไซต์ต่างๆ  ถ้าท่านผู้อ่านอยากสัมผัสขอให้ไปเปิดดูเอาเองแล้วจะเริ่มรู้สึกว่าวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้น แท้จริงคือเมื่อวานซืนนี้เอง 

 

สติสาธารณะในกรณีสามจังหวัดภาคใต้

 

 

            สถานการณ์ความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้ มีอดีต มีปัจจุบัน เป็นเหตุเป็นผลในตัวของมันเอง ทั้งรวมตัวเป็นกรรมที่จะกระทบและผลักดันตัวของมันเองไปในอนาคตต่อไป บ้านเมืองไทยของเราจะเข้าพบปัญหานี้ยังไง ปัญหานี้ก็จะกลับเข้าพบเข้าทำบ้านเมืองของเราอย่างไรในวันข้างหน้าไม่มีใครคาดเดาได้

          อย่างไรก็ตามในฐานะพลเมืองที่ห่วงใยบ้านเมืองและพี่น้องในสามจังหวัดภาคใต้ เราดูดายเรื่องนี้ไม่ได้  เราจะร่วมกันคิดอ่านทำอะไรกันดี  ผมคิดว่าการหาทางร่วมกันสร้างสรรค์ สติสาธารณะ ของประชาชนคนไทยที่เกี่ยวที่ข้องกับเรื่องนี้ให้เกิดขึ้นมาครองตัวครองใจผู้คนในวงกว้างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งนัก

          สติสาธารณะนี้เองจะเป็นเสมือนทุนทางความคิดช่วยให้สังคมของเราร่วมกันเข้าพบประสบปัญหาแก้ไขปัญหาในสามจังหวัดภาคใต้ได้อย่างมีวุฒิภาวะ ห่างไกลจากอคติและความหยาบคิดบุ่มบ่ามทำ  นี่คือพื้นฐานสำคัญที่สุดของสังคมที่กำลัง ต้องร่วมกันพบกับวิกฤติที่สลับซับซ้อนเพราะบ่มฝังเพาะตัวมานานช้า และกำลังทบทวีตัวพลุ่งเป็นความรุนแรงและความเสียหายที่น่าสะพรึงกลัวของทุกๆฝ่าย

          หากท่านผู้อ่านกรุณาย้อนไปพินิจดูภาพประกอบบทความบทนี้อีกครั้ง ท่านจะสังเกตเห็นได้ถึงเนื้อหาที่หวังจะสื่อสารออกไป ไม่ว่าจะเป็นผู้คนทั้งสองฝั่งไม้กระดกที่เป็นมนุษย์ปุถุชนที่ยังถูกปกคลุมด้วยโทสะและโมหะมีรักโลภ โกรธหลงเป็นเจ้าเรือน ความแตกแยกตัวแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่ายและความรุนแรงที่กระทำเข้าใส่กันทำให้ต่างฝ่ายต่างทยอยตกเป็นเหยื่อของเหตุการณ์ที่รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ โดยมีผีปีศาจคืออคติที่พยายามเข้าสิงสู่จิตใจของทั้งสองฝ่ายให้ห่างพ้นจากความรักและความเข้าใจซึ่งกันและกันขึ้นทุกที ความหวาดระแวง ความโกรธและความเกลียดจึงค่อยๆทบตัวเข้ามาแทนที่ ไม้กระดกบนยอดเขาจึงโยกคลอนขึ้นทุกขณะและสุดท้ายจะไม่มีใครเป็นฝ่ายชนะได้เลยนอกจากปีศาจอคติตัวนั้น

ทำอย่างไรเราจะก่อร่างสร้างกระแสสติแห่งสาธารณะขึ้นมาในบ้านเมืองอันจะทำให้ปีศาจตัวนี้มันเล็กลงอ่อนแรงลง เกิดกรรมคือการกระทำชุดใหม่ๆที่โน้มนำให้หนทางแห่งสัมมาทิฏฐิสู่สันติภาพมีโอกาสเปิดตัวขึ้น แทนที่จะจมดิ่งลึกไปในวังวนของความรุนแรงที่มีมิจฉาทิฏฐิเข้าผลักไสมีความโกรธเกลียดเข้านำทาง


ผมตั้งสติเขียนบทความนี้โดยมุ่งหวังจะไปให้พ้นจากการกล่าวผิดว่าร้ายใดๆทั้งสิ้น หากยังพลาดพลั้งก็ขออภัย   ขอสันติภาพจงมีแก่บ้านเกิดเมืองนอนของพวกเราทุกคน

Be the first to comment on "สติสาธารณะกับความรุนแรงในสามจังหวัดภาคใต้"

Leave a comment

Your email address will not be published.