สาธารณรัฐเลบานอน : ถิ่นฐานรกรากชาวฟีนีเชียน ตอนที่ 7 เที่ยวถ้ำและโบสถ์ในหุบเขาคาดิสชา

บันทึกการเรียนรู้โดย พลเดช ปิ่นประทีป

หุบเขาคาดิซา

คณะได้เดินทางตามทางหลวงที่เลียบชายฝั่งทะเล ผ่านเมืองเชคก้า (Chekka) ระหว่างทางได้ชมความงามของภูมิทัศน์ภูเขาที่สวยที่สุดในเลบานอน ข้ามเทือกเขาลิบานเข้าสู่หุบเขาคาดิซา (Kadisha Valley) ซึ่งบางครั้งเรียกว่า “หุบเขาศักดิ์สิทธิ์ วาดีคาดิซา”

ที่นี่เป็นหนึ่งในชุมชนทางศาสนา ยุคคริสต์ศาสนาตอนต้น ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก อารามในคริสต์ศาสนาหลายแห่งมีอายุเก่าแก่มาก ตั้งอยู่บนภูมิทัศน์อันขรุขระของขุนเขาอย่างน่าทึ่ง

รถบัสพาพวกเราข้ามเทือกเขาสูง หิมะปกคลุมค่อนข้างหนา อากาศหนาวเย็นเกินกว่าที่คาดคิด รถแล่นผ่านป่าต้นซีดาร์ ต้นไม้ประจำชาติที่ปรากฏอยู่บนผืนธงชาติของเลบานอน

ต้นซีดาร์มีคุณค่าสูงยิ่งในยุคโบราณ โดยใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง ศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่หลายแห่งใช้ไม้ซีดาร์ในบริเวณป่าแห่งนี้ ต้นซีดาร์บางต้นมีอายุกว่า 1,000 ปี และได้รับการคุ้มครองยกย่องเป็นมรดกโลกในปี ค.ศ. 1998

โบสถ์เซนต์แอนโธนี

เราได้ขึ้นไปสักการะโบสถ์คริสต์แห่งหนึ่งท่ามกลางฝนตกปอยๆและอากาศที่หนาวเหน็บ ที่นั่นมีถ้ำที่นักบุญผู้มีชื่อเสียงมากท่านหนึ่งเคยมาบำเพ็ญเพียร ชื่อ โบสถ์เซนต์แอนโธนี ซึ่งครั้งหนึ่งนักบุญแอนโธนีใช้มาความยากจน อัตคัดขาดแคลนและความสันโดษ บังคับขัดเกลาตนเองอยู่ในถ้ำแห่งนี้

มีประวัติเล่าว่า เคยมีคนที่ถูกวิญญาณร้ายเข้าสิง พระคริสต์ท่านจับล่ามโซ่ และช่วยกันบำเพ็ญภาวนาจนเกิดอภินิหาริย์ โซ่หลุดได้และหายจากอาการคุ้มคลั่ง ที่นี่จึงได้รับการกล่าวขานเป็น the Cave of Insane

พิพิธภัณฑ์ คาลิล ยิบราน

รถบัสมาหยุดที่ดอยสูงลาดชันแห่งหนึ่ง ปล่อยให้คณะของเราได้เข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ คาริล ยิบราน ( Khalil Gibran Museum)

คาลิล ยิบราน เป็นนักกวีชื่อดังของโลก ท่านเป็นกวียอดนิยมของพวกเราสมัยเป็นนักศึกษาฝ่ายซ้ายเมื่อ 40 ปีก่อน เพิ่งจำได้ว่าคาลิล ยิบราน เป็นกวีชาวตะวันออกกลางแต่ไม่รู้เป็นชนชาติอะไร และไม่เคยคิดฝันว่าจะได้มาเยือนถึงถิ่นที่เกิดของท่านที่เลบานอนในครั้งนี้ จึงรู้สึกตื่นเต้น

ท่านมีบ้านเกิดอยู่ที่เมืองบซาร์ริ ก่อนย้ายถิ่นฐานไปอยู่ในอเมริกา คาริล ยิบราน สามารถแต่งบทกวีได้ทั้งภาษาอาหรับและภาษาอังกฤษ แม้เขาจะใช้ชีวิตอยู่ต่างบ้านต่างถิ่น แต่ก็ไม่เคยลืมความรักในชาติพันธุ์ของเขา

เขาสิ้นชีวิตลง ณ นครนิวยอร์ก และได้ถูกนำร่างกลับมายังบ้านเกิด ที่เมืองบซาร์ริ ซึ่งภายหลังได้จัดตั้งเป็นพิพิธภัณฑ์เพื่อแสดงชีวประวัติ คาริล ยิบราน ถือเป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของชาวเลบานอน

สภาพทางขึ้นพิพิธภัณฑ์ คาลิล ยิบราน
มุมหนึ่งในพิพิธภัณฑ์
เมืองบซาร์รี บ้านเกิดของคาลิล ยิบราน มองลงไปเห็นหุบเขาคาดิชชาอยู่เบื้องล่าง
คาลิล ยิบราน
ที่มา https://www.baanjomyut.com/library/kahlil.html

ชีวประวัติ

คาลิล ยิบราน ศิลปินผู้ใฝ่ฝ่ายจิตนิยม เขามักจะเทศนาหลักธรรมะ ด้วยการแสดงออกทางศิลปกรรม เช่น บทกวี จิตรกรรม งานเขียนของยิบราน งดงามราวภาพวาด จนกระทั่งทุกวันนี้ ผู้คนก็ยังกล่าวขวัญถึงด้วยความยกย่องและศรัทธา ชื่นชม

คาลิล ยิบราน เกิดที่ประเทศเลบานอน ค.ศ. 1883 และเสียชีวิตที่นิวยอร์ค ประเทศสหรัฐอเมริกา ในปี ค.ศ. 1931 เขาเป็นกวี นักเขียนและเป็นศิลปิน ผู้ได้รับสมญานามว่า วิลเลียม เบลค แห่งศตวรรษที่ 20

บิดามารดาของยิบราน เป็นผู้มีการศึกษาและวัฒนธรรมดี ตระกูลทางมารดาได้ชื่อว่าเก่งทางดนตรีที่สุดในหมู่บ้าน ยิบรานได้แสดงฝีมือทางวาดเขียน ก่อสร้าง ปั้นและแต่งเรียงความมาตั้งแต่เยาว์วัย

เมื่ออายุ 8 ปี ก็สนใจและเข้าใจซาบซึ้งในงานของไมเคิล แองเจโล  และลีโอนาร์โด ดาวินชี   ในปี ค.ศ. 1895 ครอบครัวของเขาได้เดินทางไปตั้งรกรากที่อเมริกา จนเมื่อเขาอายุได้ 14 ปี ยิบรานก็ได้เดินทางกลับไปยังเลบานอน และเข้าเรียนในสถานศึกษา ภาษาอาหรับของซีเรีย

ต่อมาเขาได้เดินทางไปศึกษาศิลปะกับโรแดง   ประติมากรชาวฝรั่งเศส ที่ Ecole des Beaux Arts ในกรุงปารีส เมื่อปี ค.ศ. 1912 ยิบรานเดินทางไปยังสหรัฐอเมริกา และอยู่ที่กรุงนิวยอร์ค   ที่นั่นเขาได้ก่อตั้งสมาคมนักเขียนชาวอาหรับ และได้เป็นนายกสมาคมด้วย

งานประพันธ์ของยิบราน ได้มีอิทธิพลจูงใจคนรุ่นหลังมาก ทั้งผู้ใช้ภาษาอารบิค ในประเทศอาหรับและในอเมริกา ตลอดทั้งยุโรป และเอเซีย งานชิ้นแรกๆของยิบราน เป็นข้อเขียนและบทกวีภาษาอาหรับ งานเหล่านั้นแสดงทัศนะเห็นแจ้งในธรรมะ ความงดงามในถ้วงทำนอง และแนวใหม่ที่จะใช้แก้ปัญหาชีวิต            

ยิบรานเริ่มใช้ภาษาอังกฤษในการเขียนของเขาตั้งแต่อายุยังไม่ถึงยี่สิบปี งานเขียนที่มีชื่อเสียงที่สุดของเขาคือ The Prophet (ปรัชญาชีวิต) เป็นเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษญ์ด้วยกัน งานชิ้นนี้ได้ถูกแปลออกเป็นภาษาต่างๆ ไม่น้อยกว่า 20 ภาษารวมทั้งภาษาไทย มีผู้อ่านกันแพร่หลายอย่างยิ่งทั่วโลก

ยิบรานได้บรรจุหลักสัจธรรมไว้ด้วยสำนวนกวี ที่อ่านง่ายและไพเราะ เข้าถึงชนทุกชั้น นับเป็นบทกวีปรัชญา และธรรมะ พร้อมกันในตัว บุคคลในหลายเชื้อชาติและต่างลัทธิศาสนาจำนวนมาก ได้ยึดถือเอาคำสอนในงานชิ้นนี้เป็นประทีปนำทางแห่งการดำเนินชีวิต ทั้งนี้เพราะความเป็นกลางของสัจธรรมของยิบรานนั่นเอง แม้จะกล่าวออกมาในเปลือกหุ้มใดๆ ก็มีธรรมชาติอันแท้จริงเป็นสมบัติของมนุษย์ทั่วไป ไม่ว่าชาติ ภาษา หนือลัทธิศาสนาใด

คาลิล ยิบราน ได้ทำพินัยกรรมยกลิขสิทธิ์ บทประพันธ์ของเขา 7 เล่ม ให้แก่เมืองบซาร์รี ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขา แม้ในระหว่างที่มีชีวิตอยู่นั้น หนังสือเหล่านี้ทำรายได้ให้เขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ในระยะเวลาต่อมากลับแพร่หลายมาก โดยเฉพาะเรื่อง ปรัชญาชีวิต หรือ The Prophet กลายเป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดตลอดมา

ผลประโยชน์ที่ได้จากหนังสือ 7 เล่มนี้ ประมาณปีละ 1   ล้านเหรียญสหรัฐฯ ทำให้คณะกรรมการเมืองเกิดความขัดแย้งกัน เพราะการช่วงชิงอำนาจควบคุมเงินรายได้ จนทำอะไรตามความมุ่งหมายของพินัยกรรมไม่ได้ ต่อมาในปี พ.ศ. 2510 รัฐบาลเลบานอนจึงได้ยื่นมือเข้ามาจัดการทรัพย์สิน และได้นำผลประโยชน์มาใช้สร้างโรงเรียน สถานพยาบาล และให้ทุนการศึกษา ตามวัตถุประสงค์ของพินัยกรรม

” ข้าพเจ้ามีชีวิตอยู่เหมือนพวกท่าน และบัดนี้กำลังยืนอยู่ถัดจากท่านไป ดังนั้นจงหลับตาลงและมองย้อนไป ท่านจะได้แลเห็นข้าพเจ้าอยู่ ณ เบื้องหน้าท่าน”

นั่นคือคำจารึกบนหลุมศพของยิบราน ที่อยู่ชั้นล่างของพิพิทธภัณฑ์ บนภูเขาทางภาคเหนือของเลบานอนแห่งนี้.

ความรัก

และท่านก็เงยศีรษะขึ้นมองดูฝูงชน
เขาเหล่านั้นเงียบกริบ ท่านพูดด้วยเสียงอันดังว่า

เมื่อความรักร้องเรียกเธอจงตามมันไป
แม้ว่าทางของมันนั้นจะขรุขระและชันเพียงไร
และเมื่อปีกของมันโอบรอบกายเธอ จงยอมทน
แม้ว่าหนามแหลมอันซ่อนอยู่ในปีกนั้นจะเสียดแทงเธอ
และเมื่อมันพูดกับเธอ จงเชื่อตาม
แม้ว่าเสียงของมันจะทำลายความฝันของเธอ
ดังลมเหนือพัดกระหน่ำสวนดอกไม้ให้แหลกราญไปฉะนั้น

เพราะแม้ขณะที่ความรักสวมมงกุฎให้เธอ
มันก็จะตรึงกางเขนเธอ
และขณะที่มันให้ความเติบโตแก่เธอนั้น
มันก็จะตัดรอนเธอด้วย
แม้ขณะเมื่อมันไต่ขึ้นไปสู่ยอดสูง
และลูบไล้กิ่งก้านอันแกว่งไกวในแสงอรุณ
แต่มันก็จะหยั่งลงสู่รากลึก
และเขย่าถอนตรงที่ยึดมั่นอยู่กับดินด้วย

ความรักจะรวบรวมเธอเข้าดังฝักข้าวโพด
มันจะแกะเธอออกจนเปลือยเปล่า
แล้วมันจะร่อนเพื่อให้เธอหลุดจากเปลือก
มันจะบดเธอจนเป็นผงขาวแล้วก็จะขยำจนเธออ่อนเปียก
แล้วมันก็จะนำเธอเข้าสู่ไฟอันศักดิ์สิทธิ์ของมัน
เพื่อว่าเธอจะได้กลายเป็นอาหารทิพย์ของพระเป็นเจ้า

ความรักจะกระทำสิ่งทั้งหมดนี้แก่เธอ
เพื่อว่าเธอจะได้หยั่งรู้ความลับของดวงใจเธอเอง
และด้วยความรู้นั้นเธอก็จะได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงใจแห่งชีวิตอมตะ

แต่ถ้าหากด้วยความกลัว
เธอมุ่งแต่แสวงหาความสงบสุขและความสำราญจากความรัก
ก็จะเป็นการดีกว่าที่เธอควรจะปกคลุมความเปลือยเปล่าของตน
และหลีกหนีออกไปเสียจากลานบด ไปสู่โลกอันไร้ฤดูกาล
ที่ซึ่งเธอจะหัวเราะก็ไม่เต็มที่และจะร้องไห้ก็ไม่เต็มที่

ความรักไม่ให้สิ่งอื่นใดนอกจากตนเอง
และก็ไม่รับเอาสิ่งใดนอกจากตนเอง
ความรักไม่ครอบครอง และก็ไม่ยอมให้ถูกครอบครอง
เพราะความรักนั้นเพียงพอแล้วสำหรับตอบความรัก

เมื่อเธอรัก อย่าได้พูดว่า
พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในดวงใจเรา
แต่ควรพูดว่าเราอยู่ในดวงใจพระผู้เป็นเจ้า
และอย่าได้คิดว่า
เธอสามารถนำแนวทางของความรักได้
เพราะถ้าความรักพบว่าเธอมีคุณค่าพอแล้ว
ก็จะเป็นผู้นำแนวทางของเธอเอง
ความรักไม่มีปรารถนาสิ่งอื่นใด
นอกจากที่จะทำตนเองให้สมบูรณ์
แต่ถ้าหากเธอรัก และจำต้องมีความปรารถนา
ก็ขอให้ความปรารถนาของเธอจงเป็นดังนี้

เพื่อจะละลายและไหลดังธารน้ำ
ซึ่งส่งเสียงเพลงกล่อมราตรี
เพื่อจะเรียนรู้ความปวดร้าว อันเกิดแต่ความอ่อนโยนละมุนละไมเกินไป
เพื่อจะต้องบาดเจ็บด้วยความเข้าใจในความรักของตนเอง
และเพื่อจะยอมให้เลือดหลั่งไหล
ด้วยความเต็มใจและปราโมทย์
เพื่อจะตื่นขึ้น ณ รุ่งอรุณด้วยดวงใจอันปิติ
และขอบคุณความรักอีกวันหนึ่ง
เพื่อจะหยุดพัก ณ ยามเที่ยง และเพ่งพินิจความสุขซาบซึ้งของความรัก
เพื่อจะกลับบ้าน ณ ยามพลบค่ำด้วยความรู้สึกสำนึกคุณ
และเพื่อจะหลับไปพร้อมกับคำสวดมนต์ภาวนา
สำหรับคนรักในดวงใจ
และเพลงสรรเสริญบนริมฝีปากของเธอ

เที่ยวถ้ำไจต้า

เมืองไจต้า (Jeita) อยู่นอกเขตกรุงเบรุตไปทางทิศเหนือ 18 กม. เราไปเที่ยวชมถ้ำไจต้า (Jeita Grotto) โดยการขึ้นกระเช้าไฟฟ้า ภายในถ้ำได้รับการพัฒนาให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่สำคัญของประเทศ สามารถรองรับผู้คนมาเยี่ยมเยียนจำนวนมาก

ภายในถ้ำปูทางเดินซีเมนต์เดินชมได้ บางส่วนยื่นเข้าไปในเหวลึก ตัวถ้ำขนาดใหญ่ถูกค้นพบในปี ค.ศ. 1836 โดยมิชชันนารีชาวอเมริกัน ตัวถ้ำแบ่งเป็น 2 ส่วนที่มีส่วนเชื่อมถึงกัน แบ่งเป็นถ้ำด้านบนและด้านล่าง ซึ่งต้องนั่งเรือเข้าชม ตัวถ้ำมีความยาวประมาณ 9 กม. ภายในมีน้ำสะอาด ซึ่งกลายเป็นแหล่งน้ำดื่มของชาวเลบานอน ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในถ้ำที่สวยที่สุดในโลก มีหินงอกหินย้อยขนาดใหญ่อลังการที่สุดของโลก

ตอนที่ 8 ย่ำเมืองเบรุต