ท้องถิ่น-ท้องที่วิถีใหม่ (9) “ปฏิรูปพรรคการเมือง ด้วยระบบไพรมารีโหวต”

ถึง เครือข่ายผู้นำองค์กรชุมชน ภาคประชาสังคมและเครือข่ายท้องถิ่น-ท้องที่วิถีใหม่ ทุกจังหวัด.

ในเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ 2560 ระบุเอาไว้ในมาตรา 45 ความว่า 

“บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการรวมตัวจัดตั้งพรรคการเมืองตามวิถีทางการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขตามที่กฎหมายบัญญัติ ซึ่งกฎหมายดังกล่าวต้องมีบทบัญญัติเกี่ยวกับพรรคการเมืองซึ่งต้องกำหนดให้เป็นไปโดยเปิดเผยและตรวจสอบได้ เปิดโอกาสให้สมาชิกมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวางในการกำหนดนโยบายและการส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง และกำหนดมาตรการให้สามารถดำเนินการโดยอิสระ ไม่ถูกครอบงำหรือชี้นำโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น รวมทั้งมาตรการกำกับดูแลมิให้สมาชิกของพรรคการเมืองกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้ง”

ต่อคำถามว่า อะไรคือหัวใจหรือสาระสำคัญของแผนปฏิรูปประเทศด้านการเมือง เลขาธิการ กกต.ได้ตอบคณะกรรมาธิการฯของวุฒิสภาในคราวหนึ่งว่า มี 2 ประการ คือ 1) ทำพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย 2)ทำประชาชนให้เป็นพลเมือง.

เมื่อถามต่อไปว่า รัฐธรรมนูญ 2560 และแผนปฏิรูปประเทศด้านการเมืองได้ออกแบบวางแผนในการทำพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยเอาไว้อย่างไร คำตอบคือการทำให้ประชาชนเป็นเจ้าของพรรคการเมืองและมีส่วนร่วมในกิจการสำคัญของพรรค แทนที่จะผูกขาดโดยนายทุนพรรค ผู้บริหารและกรรมการบริหารพรรคเท่านั้น โดยเฉพาะการดูแลสาขาพรรคประจำเขตเลือกตั้ง สำนักงานตัวแทนประจำจังหวัด และการกำหนดตัวผู้สมัคร ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ

มาตรการรูปธรรมในเรื่องนี้ ปรากฏอยู่ในระบบและกระบวนการเลือกตั้งขั้นต้นที่เรียกกันว่าไพรมารีโหวต (Primary vote) นั่นคือ พรรคการเมืองจะส่งใครลงสมัคร จะต้องผ่านกระบวนการเลือกตั้งขั้นต้นจากสมาชิกพรรคมาก่อน ทั้งแบบแบ่งเขตและแบบบัญชีรายชื่อ โดยมีคณะกรรมการสรรหา 7 คน(ผู้บริหาร 4 ตัวแทน 3) เป็นผู้ดำเนินการ. 

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาเห็นว่าพรรคการเมืองส่วนใหญ่โดยเฉพาะพรรคที่จัดตั้งภายหลังพรป.ว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ.2560 มีผลบังคับใช้ ไม่สามารถดำเนินการได้ทัน คณะกรรมการรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)จึงมีคำสั่งที่ 53/2560  มิให้นำระบบการเลือกตั้งขั้นต้นเช่นนี้มาบังคับใช้ในการเลือกตั้งทั่วไปครั้งแรก ( 24 มีนาคม 2562).

บัดนี้ใกล้ถึงวาระการเลือกตั้งครั้งใหม่ ล่าสุดมีกลุ่มนักการเมืองและพรรคการเมือง 4 กลุ่มใหญ่ ยื่นเสนอแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญรวม 13 ญัตติ จำนวน 43 มาตรา ซึ่งหนึ่งในนั้นมีเรื่องเสนอให้ยกเลิกระบบเลือกตั้งขั้นต้นตามมาตรา 47 รวมอยู่ด้วย. 

ขณะเดียวกัน คณะกรรมาธิการองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญของวุฒิสภา และ กกต. ได้ร่วมกันออกมายืนยันแล้วว่า ตราบใดที่รัฐธรรมนูญและพรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้ยังคงอยู่แบบเดิม ในการเลือกตั้งทั่วไปในคราวหน้า(2566) จะต้องมีการใช้ระบบเลือกตั้งขั้นต้นอย่างเต็มรูปแบบ.

เรื่องนี้จึงเป็นประเด็นร้อนที่เครือข่ายปฏิรูปการเมืองโดยประชาชนทั่วประเทศจะต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะมันเป็นหัวใจของการปฏิรูปประเทศด้านการเมืองเลยทีเดียว กล่าวคือเจตนารมณ์ของประชาชน (คนดูทั้งสนาม) ต้องการ “ทำพรรคการเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ทำประชาชนให้เป็นพลเมือง” แต่สิ่งที่นักการเมือง (ผู้เล่นส่วนหนึ่งในสนาม) ต้องการเปลี่ยนกติกาที่เป็นหลักการสำคัญ.

ถ้าเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อพิจารณาในเรื่องนี้ จุดยืนและท่าทีของ ส.ว.250 คนในรัฐสภาจะเป็นอย่างไร ส.ส.ส่วนใหญ่จะเลือกทางไหน และกลุ่มการเมืองนอกสภาจะเคลื่อนไหวรุนแรงอีกหรือไม่

ถ้าการแก้ไขสำเร็จทั้งหมด สำเร็จเพียงบางส่วน หรือไม่สำเร็จเลย จะส่งผลอย่างไรต่อพรรคการเมืองที่มีอยู่อย่างหลากหลายในปัจจุบัน ทั้งขนาดและความมั่นคงแข็งแรง

คำถามประจำสัปดาห์ เพื่อการระดมความคิดและแลกเปลี่ยนเรียนรู้สำหรับเครือข่าย

  1. ท่านมองความเคลื่อนไหวของนักการเมืองและพรรคการเมืองในเรื่องนี้อย่างไร
  2. ในฐานะของเครือข่ายภาคพลเมืองที่อยู่ในชุมชนท้องถิ่นทั่วประเทศ เราจะมีบทบาทปฏิรูปพรรคการเมืองอย่างไรบ้าง

นายแพทย์พลเดช  ปิ่นประทีป

สมาชิกวุฒิสภา / 21 มิถุนายน 2564