โดย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป สมาชิกวุฒิสภา, 3 กุมภาพันธ์ 2563
มีเยาวชนเพียง 5% จากครอบครัวยากจนกลุ่ม 20% ล่างสุดของประเทศมีโอกาสเรียนต่อระดับอุดมศึกษา
แต่ไหนแต่ไรมา เมื่อพูดถึงเรื่องปฏิรูประบบการศึกษาของประเทศ โดยส่วนตัวมีความรู้สึกว่าเป็นปัญหาที่สลับซับซ้อนและเต็มไปด้วยความมืดมน แม้จะตระหนักว่าเป็นเรื่องที่สำคัญมาก แต่ในที่สุดก็ต้องหันไปจับเรื่องอื่นทำแทน ปล่อยให้คนอื่นที่เขากัดติดในเรื่องนี้ว่ากันไปก่อน โดยขอติดตามอยู่ห่างๆ
สิ่งหนึ่งที่ผมรอคอยและลุ้นอยู่ในใจมาตลอด คือแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา คืออยากเห็นพิมพ์เขียวของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาว่าจะมีหน้าตาประการใด ซึ่งในที่สุดก็เสร็จสมบูรณ์และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ในระหว่างเขากำลังจัดทำแผนปฏิรูปประเทศด้านการศึกษากันอยู่นั้น ได้มีการปรับปรุง แก้ไขเพิ่มเติมและออกกฎหมายที่เกี่ยวข้องอยู่หลายฉบับ รวมทั้งกรณีการควบรวมงานอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์เทคโนโลยี วิจัยและนวัตกรรม และกรณีการจัดตั้งกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) ทั้งๆที่แผนแม่บทการปฏิรูปการศึกษายังไม่แล้วเสร็จ ก็ยิ่งทำให้เกิดความงุนงงหนักยิ่งขึ้น เพราะผู้ติดตามอยู่วงนอกอย่างเรามองภาพใหญ่ไม่ออก
เพิ่งได้มีโอกาสรับฟังรายงานผลการดำเนินงานประจำปี 2561 ของกองทุน กสศ.ที่มานำเสนอให้วุฒิสภาพิจารณาครั้งล่าสุด เมื่อประกอบภาพเข้ากับแผนการปฏิรูปประเทศด้านการศึกษา 4 ด้าน 7 เรื่อง 29 ประเด็น จึงทำให้ผมได้มองเห็นจิ๊กซอว์สทั้งหมดเป็นครั้งแรก ในใจนึกชื่นชมการทำงานของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษาที่มีทั้งความลุ่มลึก มีกุศโลบายและได้สร้างเครื่องมือในการขับเคลื่อน โดยเฉพาะกองทุน กสศ.นี่แหละอันหนึ่ง ที่มีสถานะเป็นเครื่องมือชิ้นสำคัญ
กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เป็นเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ. 2560 (มาตรา 54) ที่จัดตั้งขึ้นตามข้อเสนอของคณะกรรมการอิสระเพื่อการปฏิรูปการศึกษา โดยมีพ.ร.บ.กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา พ.ศ.2561 เป็นกฎหมายเฉพาะที่สร้างขึ้นมารองรับ
พรบ.ฉบับนี้ประกาศใช้บังคับเมื่อวันที่ 14 พฤษภาคม 2561 มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา ช่วยเหลือผู้ขาดแคลนทุนทรัพย์ ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษา รวมทั้งเสริมสร้างและพัฒนาคุณภาพและประสิทธิภาพครู โดยให้รัฐเป็นผู้จัดสรรงบประมาณให้กองทุนอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของนายกรัฐมนตรี และมีการบริหารงานที่เป็นอิสระ
กสศ.ระบุสาเหตุหลักของความเหลื่อมล้ำในการศึกษาไว้ 3 ประการ ได้แก่ คุณภาพหรือมาตรฐานของสถานศึกษา คุณภาพหรือประสิทธิภาพของครู และฐานะทางเศรษฐกิจหรือสังคมของผู้เรียน หมายความว่าความยากจนทำให้เด็กไทยมากกว่า 5 แสนคนต้องหลุดออกนอกระบบไปแล้ว และอีก 2 ล้านคนมีแนวโน้มไม่ได้เรียนต่อ
กล่าวคือมีเยาวชนเพียง 5% จากครอบครัวยากจนกลุ่ม 20% ล่างสุดของประเทศ ที่มีโอกาสเรียนต่อในระดับอุดมศึกษา ซึ่งปัญหาเกิดจากครอบครัวของเด็กและเยาวชนกลุ่มนี้ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาสูงมากเมื่อเทียบกับรายได้ของตน กล่าวคือสูงกว่าครอบครัวร่ำรวยถึง 4 เท่า (ข้อมูลจากบัญชีรายจ่ายด้านการศึกษาแห่งชาติ 2551-2559)
และทั้งหมดนี้ได้ส่งผลให้ประเทศไทยเสียโอกาสทางเศรษฐกิจสูงถึง 2 แสนล้านบาทต่อปี นับเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการพัฒนาศักยภาพมนุษย์และการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนด้านการศึกษา
กสศ. เพิ่งจัดตั้งและทำงานมาเพียง 10 เดือน มีเงินประเดิมก้อนแรกจากรัฐบาล 700 ล้านบาท และรับจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี 500 ล้านบาท ได้ดำเนินกิจกรรมโครงการตามวัตถุประสงค์ของการจัดตั้งกองทุน 7 ประการตามมาตรา 5 ซึ่งมีโครงการที่สำคัญ ได้แก่
1.โครงการจัดสรรเงินอุดหนุนนักเรียนยากจนพิเศษแบบมีเงื่อนไขในสถานศึกษาสังกัด สพฐ. 26,500 แห่ง สามารถจัดสรรทุนการศึกษาให้แก่เด็ก 510,000 คน ทุนละ 1,600 บาท/ปี รวมทั้งสำรวจและจัดทำฐานข้อมูลเด็กนักเรียนยากจนและยากจนพิเศษ รวม 1.7 ล้านคนทั่วประเทศด้วยกระบวนการมีส่วนร่วมของสถานศึกษาและชุมชน
2. โครงการพัฒนาสถาบันต้นแบบด้านการพัฒนาคุณภาพเด็กปฐมวัยเพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษา เริ่มทำในลักษณะนำร่อง 6 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่ ศรีสะเกษ ระยอง จันทบุรี ภูเก็ต และมหาสารคาม ได้พัฒนาศักยภาพสถานดูแลเด็กปฐมวัยขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 300 แห่ง เด็ก 60,000 คน
3. โครงการสร้างโอกาสทางการศึกษาสำหรับนักเรียนในพื้นที่ห่างไกล ให้ไปเป็นครูรุ่นใหม่ประจำท้องถิ่น เพื่อพัฒนาคุณภาพโรงเรียนของชุมชน กำลังอยู่ในระยะทดลอง 5 ปีแรกจำนวน 1,500 คน
4. โครงการพัฒนาครูและโรงเรียนเพื่อยกระดับคุณภาพการศึกษาอย่างต่อเนื่อง มีโรงเรียนขนาดกลาง 280 โรง สถาบันอุดมศึกษา 10 แห่งและครู 5,600 คนเข้าร่วม
5. โครงการทุนนวัตกรรมสายอาชีพชั้นสูง มุ่ง“สร้างคน สร้างโอกาส สร้างงาน” ขับเคลื่อนสู่ประเทศไทย 4.0 โดยให้ทุนต่อเนื่อง 5 ปี จาก ม.3ถึงอนุปริญญา จำนวน 2,500 ทุน/ปี จาก 52 โครงการ 39 สถาบันสายอาชีพทั่วประเทศ
6.โครงการพัฒนาระบบทดลองการพัฒนาทักษะแรงงานที่ขาดแคลนทุนทรัพย์และด้อยโอกาส มีพื้นที่ปฏิบัติการระดับตำบลหรือเทศบาล 50 พื้นที่ เน้นกลุ่มประชากรวัยแรงงานอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปที่มีการศึกษาต่ำกว่าขั้นพื้นฐาน รายได้ต่ำกว่า 6,500 บาท/เดือน
7. โครงการจัดการศึกษาเชิงพื้นที่เพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา มุ่งพัฒนาคุณภาพและศักยภาพศูนย์เด็กเล็กต้นแบบ 300 แห่ง ใน 10-15 จังหวัด
เมื่อมองความเคลื่อนไหวและผลงานในภาพรวมของกองทุน กสศ.เพียงในปีแรก ทำให้ผมมีความรู้สึกว่า นี่น่าจะถือเป็นการขับเคลื่อนการปฏิรูปการศึกษาไทยในภาคปฏิบัติจริงเป็นครั้งแรก หลังจากที่เรามัวเสียเวลาไปร่วม 20 ปี กับการประดิดประดอยออกกฎหมายปฏิรูปการศึกษาลงมาจากยอดพระเจดีย์ และสิ้นเปลืองหัวสมองไปกับการจัดหาตำแหน่งและผลประโยชน์ตอบแทนผู้บริหารการศึกษา โดยที่เด็กและประเทศชาติไม่ได้อะไรเลย นอกจากคุณภาพการศึกษาที่ถดถอยลงทุกวัน
ในข้อสังเกตเบื้องต้น ผมคิดว่าจุดแตกต่างของการปฏิรูปการศึกษาในคราวนี้ น่าจะอยู่ที่
1)การมุ่งเป้าการปฏิรูปและให้บทบาทไปที่ตัวเด็ก ครูผู้สอนและโรงเรียนที่เป็นหน่วยปฏิบัติการ
2)การบริหารจัดการทรัพยากร โดยเฉพาะการแบ่งงบประมาณการศึกษาส่วนหนึ่ง ให้มาบริหารในระบบกองทุนสนับสนุน ในอนาคตควรจะเพิ่มได้ถึง 25,000 ล้าน/ปี หรือ ร้อยละ 5 ของงบประมาณด้านการศึกษา
3)การให้ความสำคัญกับการสร้างองค์ความรู้และนวัตกรรม โดยนำมาใช้ในกระบวนการขับเคลื่อนงานทุกภารกิจ
4)มีกระบวนการมีส่วนร่วมอย่างกว้างขวาง ทั้งจากชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ภาคประชาสังคมและภาคธุรกิจ.
ขอบคุณภาพหน้าปกจาก nationweekend.com